เนื้อหาปรับปรุงแก้ไขล่าสุด วันที่ 9 ธันวาคม 2022
การรับการฉีดเข็มกระตุ้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถรับการฉีดได้เป็นวิธีป้องกันตัวคุณที่ดีที่สุดจากการเจ็บป่วยร้ายแรงและการเสียชีวิตเพราะ COVID-19
Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ได้ปรับปรุงคำแนะนำเกี่ยวกับเข็มกระตุ้นดังต่อไปนี้
- เด็กที่มีอายุ 6 เดือน - 5 ปี ที่ได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ยี่ห้อ Modernaชนิดดั้งเดิมแบบโมโนวาเลนต์ในตอนนี้สามารถรับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์หลังผ่านไป 2 เดือนจากที่ฉีดวัคซีนชุดหลักครบสูตร
- วัคซีนป้องกัน COVID-19 ยี่ห้อ Pfizer สำหรับเด็กที่มีอายุ 6 เดือน - 4 ปี ตอนนี้จะประกอบด้วยวัคซีนแบบโมโนวาเลนต์ของ Pfizer 2 เข็มและวัคซีนแบบไบวาเลนต์ของ Pfizer 1 เข็ม
- เด็กที่มีอายุ 6 เดือน - 4 ปี ผู้ที่ยังไม่เริ่มฉีดวัคซีนชุดหลัก 3 เข็มของ Pfizer หรือผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดเข็มที่ 3 ในชุดหลัก ในตอนนี้จะได้รับชุดหลักชนิดใหม่ของ Pfizer
- เด็กที่มีอายุ 6 เดือน - 4 ปี ผู้ที่ฉีดวัคซีนยี่ห้อ Pfizer ชุดหลัก 3 เข็มครบสูตรแล้ว จะไม่สามารถรับเข็มเสริมหรือเข็มกระตุ้นได้ในขณะนี้
- อนุญาตให้ใช้วัคซีนเข็มกระตุ้นป้องกัน COVID-19 ยี่ห้อ Novavax กับผู้ใหญ่ได้ ในกรณีที่ฉีดเข็มหลักครบสูตรแล้ว แต่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นป้องกัน COVID-19 มาก่อน หรือในกรณีที่ไม่สามารถหรือจะไม่ฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่
หากคุณได้รับวัคซีน... | ใครควรได้รับวัคซีนโดสเสริม | ควรได้รับวัคซีนโดสเสริมยี่ห้อใด | ควรได้รับวัคซีนโดสเสริมเมื่อใด |
---|---|---|---|
Pfizer-BioNTech | ผู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป |
เด็กที่มีอายุ 5 ปี ซึ่งฉีดชุดหลักยี่ห้อ Pfizer จะรับได้แต่เข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ของ Pfizer ผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป ควรรับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ยี่ห้อ Pfizer หรือ Modernaโดยไม่สำคัญว่าวัคซีนชุดหลักของตนจะเป็นยี่ห้ออะไร |
อย่างน้อย 2 เดือนหลังจากเสร็จสิ้นการรับประทานยาหลักหรือยาเสริมก่อนหน้า |
ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถขอรับเข็มกระตุ้นยี่ห้อ Novavax ได้ หากไม่สามารถหรือจะไม่ฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่ | Novavax: อย่างน้อย 6 เดือนหลังจากฉีดเข็มหลักครบสูตร | ||
Moderna | อายุ 6 เดือนขึ้นไป |
เด็กที่มีอายุ 6 เดือน - 4 ปี ควรได้รับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ที่เป็นยี่ห้อเดียวกันกับวัคซีนชุดหลักของตน ผู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป ควรรับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ใหม่ Pfizer หรือ Moderna |
อย่างน้อย 2 เดือนหลังจากฉีดเข็มหลักครบ หรือก่อนฉีดเข็มกระตุ้น |
ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถขอรับเข็มกระตุ้นยี่ห้อ Novavax ได้ หากไม่สามารถหรือจะไม่ฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่ | Novavax: อย่างน้อย 6 เดือนหลังจากฉีดเข็มหลักครบสูตร | ||
Novavax | ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป | ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป ควรรับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ใหม่ Pfizer หรือ Moderna | อย่างน้อย 2 เดือนหลังจากฉีดเข็มหลักครบ หรือก่อนฉีดเข็มกระตุ้น |
ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถขอรับเข็มกระตุ้นยี่ห้อ Novavax ได้ หากไม่สามารถหรือจะไม่ฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่ | Novavax: อย่างน้อย 6 เดือนหลังจากฉีดเข็มหลักครบสูตร | ||
Johnson & Johnson | ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป | ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ควรรับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ใหม่ Pfizer หรือ Moderna | อย่างน้อย 2 เดือนหลังจากฉีดเข็มหลักครบ หรือก่อนฉีดเข็มกระตุ้น |
ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถขอรับเข็มกระตุ้นยี่ห้อ Novavax ได้ หากไม่สามารถหรือจะไม่ฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่ | Novavax: อย่างน้อย 6 เดือนหลังจากฉีดเข็มหลักครบสูตร |
*เราแนะนำให้ฉีดวัคซีน mRNA แต่คุณยังสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ Johnson & Johnson ได้หากไม่สามารถหรือไม่ต้องการฉีดวัคซีนยี่ห้ออื่น
การรับวัคซีนสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
หากคุณมีภูมิคุ้มกันบกพร่องในระดับปานกลางถึงรุนแรง คำแนะนำจะแตกต่างกันไปตามกรณี
หากคุณได้รับ... | ฉันควรจะรับโดสเสริมหรือไม่ | ฉันควรรับเข็มกระตุ้นหรือไม่ |
---|---|---|
Pfizer: สำหรับผู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป ที่ได้รับ 2 เข็มห่างกันเป็นเวลา 21 วัน | ควร ผู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไปซึ่งมีภูมิคุ้มกันบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรง ควรได้รับเข็มกระตุ้น 28 วันหลังจากได้รับเข็มที่ 2 |
แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป รับการฉีดเข็มกระตุ้นชนิดใหม่ แบบ mRNA ไบลาเวนต์ ยี่ห้อที่เลือกได้ 2 เดือนหลังจากเข็มล่าสุด เด็กที่มีอายุ 5 ปี ซึ่งฉีดชุดหลักยี่ห้อ Pfizer จะรับได้แต่เข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ของ Pfizer ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถขอรับเข็มกระตุ้นยี่ห้อ Novavax ได้ หลังจากที่ได้รับเข็มหลักครบสูตรแล้วเป็นเวลา 6 เดือน หากไม่สามารถหรือจะไม่ฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่ |
Pfizer: สามเข็มสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี ควรฉีด 2 เข็มแรกห่างกัน 21 วัน และฉีดเข็มที่ 3 หลังจากเข็มที่ 8 สัปดาห์ | ไม่ ในตอนนี้เด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี ซึ่งมีภูมิคุ้มบกพร่องปานกลางหรือรุนแรงไม่ควรรับเข็มเสริมเพิ่มเติมจากเข็มหลัก | ไม่ ในตอนนี้ไม่อนุญาตให้ฉีดวัคซีนชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ให้กับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี ซึ่งได้รับวัคซีนชุดหลักยี่ห้อ Pfizer ครบสูตรแล้ว |
Moderna: สำหรับผู้ที่มีอายุ 6 เดือนถึง ปีขึ้นไป ที่ได้รับ 2 เข็มห่างกันเป็นเวลา 28 วัน | ควร ผู้ที่มีอายุ 6 เดือนถึง ปีขึ้นไปซึ่งมีภูมิคุ้มกันบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรง ควรได้รับเข็มกระตุ้น 28 วันหลังจากได้รับเข็มที่ 2 |
ใช่ แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป รับการฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่แบบไบลาเวนต์ 2เดือนหลังจากที่ฉีดเข็มล่าสุดเพื่อให้ครบสูตร เด็กที่มีอายุ 6 เดือน - 4 ปี ควรได้รับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ที่เป็นยี่ห้อเดียวกันกับวัคซีนชุดหลักของตน ผู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป ควรรับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ใหม่ Pfizer หรือ Moderna ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถขอรับเข็มกระตุ้นยี่ห้อ Novavax ได้ หลังจากที่ได้รับเข็มหลักครบสูตรแล้วเป็นเวลา 6 เดือน หากไม่สามารถหรือจะไม่ฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่ |
Johnson & Johnson: สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป 1 เข็ม* | ควร ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งมีภูมิคุ้มกันบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรง ควรได้รับเข็มกระตุ้นเป็นวัคซีน mRNA 28 วันหลังจากได้รับวัคซีน 1 เข็มของ J&J |
แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป รับการฉีดเข็มกระตุ้นชนิดใหม่ แบบ mRNA ไบลาเวนต์ ยี่ห้อที่เลือกได้ 2 เดือนหลังจากเข็มล่าสุด ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถขอรับเข็มกระตุ้นยี่ห้อ Novavax ได้ หลังจากที่ได้รับเข็มหลักครบสูตรแล้วเป็นเวลา 6 เดือน หากไม่สามารถหรือจะไม่ฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่ |
Novavax: สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป ที่ได้รับ 2 เข็มห่างกันเป็นเวลา 21 วัน | ไม่ ในตอนนี้ผู้ที่มีภูมิคุ้มบกพร่องปานกลางหรือรุนแรงไม่ควรรับเข็มเสริมเพิ่มเติมจากเข็มหลัก |
แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป รับการฉีดเข็มกระตุ้นชนิดใหม่ แบบ mRNA ไบลาเวนต์ ยี่ห้อที่เลือกได้ 2 เดือนหลังจากเข็มล่าสุด ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถขอรับเข็มกระตุ้นยี่ห้อ Novavax ได้ หลังจากที่ได้รับเข็มหลักครบสูตรแล้วเป็นเวลา 6 เดือน หากไม่สามารถหรือจะไม่ฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่ |
*เราแนะนำให้ฉีดวัคซีน mRNA แต่คุณยังสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ Johnson & Johnson ได้หากไม่สามารถหรือไม่ต้องการฉีดวัคซีนยี่ห้ออื่น
คำถามที่พบบ่อย
- ฉันต้องรับวัคซีนโดสเสริมเป็นยี่ห้อเดิมหรือไม่
-
เด็กที่มีอายุ 6 เดือน - 4 ปี ควรได้รับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ที่เป็นยี่ห้อเดียวกันกับวัคซีนชุดหลักของตน
เด็กที่มีอายุ 5 ปี ซึ่งฉีดชุดหลักยี่ห้อ Pfizer จะรับได้แต่เข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ของ Pfizer
เด็กที่มีอายุ 5 ปี ซึ่งฉีดชุดหลักยี่ห้อ Moderna สามารถรับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ของ Pfizer หรือ Moderna ก็ได้
ผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป ควรรับเข็มกระตุ้นชนิดใหม่แบบไบวาเลนต์ยี่ห้อ Pfizer หรือ Modernaโดยไม่สำคัญว่าวัคซีนชุดหลักของตนจะเป็นยี่ห้ออะไร
อนุญาตให้ใช้วัคซีนเข็มกระตุ้นป้องกัน COVID-19 ยี่ห้อ Novavax กับผู้ใหญ่ได้ ในกรณีที่ฉีดเข็มหลักครบสูตรแล้ว แต่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นป้องกัน COVID-19 มาก่อน หรือในกรณีที่ไม่สามารถหรือจะไม่ฉีดเข็มกระตุ้น mRNA ชนิดใหม่
- เหตุใดโดสเสริมจึงมีความสำคัญ
-
โดสเสริมจะช่วยป้องกันโรคร้ายแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อโควิด-19 ก่อนหน้านี้เราแนะนำว่าเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อ COVID-19 เท่านั้นที่ควรได้รับการฉีดเข็มกระตุ้น แต่ได้ขยายคำแนะนำให้ครอบคลุมทุกคนที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป เพื่อช่วยเพิ่มระดับการป้องกันการเจ็บป่วยจาก COVID-19
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ได้รับอนุญาตในสหรัฐอเมริกายังคงสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้ายแรง การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี แม้ในกรณีติดเชื้อกลายพันธุ์ก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันลดลง วัคซีนโดสเสริมจะช่วยเพิ่มการป้องกันโควิด-19 และช่วยให้ภูมิคุ้นกันมีประสิทธิภาพยาวนานขึ้น
- คุณยังฉีดวัคซีนเข็มหลักให้กับประชาชนอยู่หรือไม่
-
ฉีด การทำให้ทุกคนที่เข้าเกณฑ์ได้รับวัคซีนหลัก (วัคซีนโควิดของ Johnson & Johnson 1 โดสหรือ Pfizer หรือ Moderna 2 โดส) ยังคงเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีนมีอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสูงกว่าผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีน 10 ถึง 22 เท่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนมีแนวโน้มต่ำกว่าที่จะมีอาการเจ็บป่วยรุนแรง (หรืออาจไม่มีอาการเลย) จากโควิด-19 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน นอกจากนี้การฉีดวัคซีนยังช่วยป้องกันไม่ให้มีอาการป่วยและเกิดอาการระยะยาวที่ได้รับรายงานว่าเกิดในผู้ที่ป่วยจากโควิด-19 ถึง 50%
- ถ้าเราต้องฉีดโดสเสริม นั่นหมายถึงวัคซีนไม่ได้ผลหรือเปล่า
-
ไม่ใช่ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในปัจจุบันที่เรามีในสหรัฐฯ นั้นได้ผลดีในการป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรง การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต รวมถึงการต้านเชื้อกลายพันธ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในปัจจุบันก็ยังเห็นว่ามีผลป้องกันที่ลดลงต่ออาการเจ็บป่วยจากโควิด-19 ในระดับเล็กน้อยหรือปานกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ประชากรที่มีความเสี่ยงสูง
เข็มกระตุ้นชนิดใหม่ถูกวิจัยขึ้นเพื่อช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันและให้การป้องกันที่ดีขึ้นจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน เป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณต้องรับวัคซีนให้ครบตามที่แนะนำเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันอย่างดีที่สุด
- ถ้าฉันไม่ได้รับโดสเสริม ฉันยังถือว่าได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนหรือไม่
-
คุณจะได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ครบถ้วนต่อเมื่อคุณได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 เข็มหลักและเข็มกระตุ้นครบตามที่ CDC แนะนำล่าสุดให้กับคุณ
- ฉันจะแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่าฉันมีสิทธิ์ได้รับโดสเสริม
-
คุณสามารถรายงานเองได้เลยว่าคุณคุณมีสิทธิ์ได้รับโดสเสริม คุณไม่จำเป็นต้องแสดงคำแนะนำจากผู้ให้บริการด้านสุขภาพ
โปรดนำบัตรบันทึกการฉีดวัคซีน ไปที่การนัดหมายการฉีดโดสเสริม เพื่อที่ผู้ให้บริการจะสามารถยืนยันได้ว่า คุณได้รับชุดวัคซีนสองโดสแล้วของ Pfizer หากคุณไม่มีบัตร ผู้ให้บริการสามารถค้นหาประวัติการฉีดของคุณได้
- การรับวัคซีนเพิ่มและการฉีดวัคซีนโดสเสริมต่างกันอย่างไร
-
- การรับวัคซีนเข็มเสริมจะใช้เฉพาะกับผู้ป่วยบางคน (ดูตารางด้านบน) ที่ได้รับวัคซีนชุดหลักครบสูตรแล้ว แต่ยังสร้างภูมิคุ้มกันตอบสนองไม่สูงพอ
- จะถือว่าบุคคลหนึ่งได้รับการฉีควัคซีนป้องกัน COVID-19 ครบถ้วน ต่อเมื่อได้รับเข็มหลักและเข็มกระตุ้นทั้งหมดภายใต้เงื่อนไขตามที่แนะนำ
- การมีภูมิคุ้มกันบกพร่องหมายความว่าอย่างไร
-
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องและได้รับวัคซีน COVID-19 แบบ mRNA จำนวน 2 เข็มหรือ J&J จำนวน 1 เข็ม
หากคุณมีโรคประจำตัวใดๆ ต่อไปนี้ ถือว่าคุณมีภูมิคุ้มกันบกพร่องในระดับปานกลางถึงรุนแรง และอาจได้รับประโยชน์จากวัคซีนโควิด-19 โดสเพิ่ม ซึ่งรวมถึงผู้ที่:
- กำลังรับการรักษามะเร็งแบบฉับไวสำหรับเนื้องอกหรือมะเร็งในเลือด
- รับการปลูกถ่ายอวัยวะและกำลังทานยาเพื่อกดภูมิคุ้มกัน
- ได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือกำลังรับประทานยาเพื่อกดภูมิคุ้มกัน
- มีภูมิคุ้มกันบกพร่องในระดับปานกลางหรือรุนแรง (เช่น กลุ่มอาการ DiGeorge, กลุ่มอาการ Wiskott-Aldrich)
- มีการติดเชื้อ HIV ขั้นสูงหรือไม่ได้รับการรักษา
- กำลังได้รับการรักษาแบบฉับไวด้วยคอร์ติโคสเตียรอยด์ขนาดสูงหรือยาอื่นๆ ที่อาจกดภูมิคุ้มกัน
แม้ว่าวัคซีนที่เรามีจะมีประสิทธิภาพ 90% ต่อไวรัสสายพันธุ์ส่วนใหญ่ แต่จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรงไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเสมอไป เข็มที่ 3 ไม่ถือว่าเป็นเข็มกระตุ้น แต่เป็นเข็มเสริมสำหรับผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอกับชุดวัคซีน 2 เข็ม
- โรคประจำตัวคืออะไร
-
คนทุกวัยที่มีโรค/ภาวะในรายชื่อด้านล่าง (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะมีอาการเจ็บป่วยรุนแรงจากโควิด-19 อาการเจ็บป่วยรุนแรงหมายถึงผู้มีติดเชื้อโควิด-19 อาจ:
- ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
- ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
- ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
- เสียชีวิต
วัคซีนป้องกันโควิด-19 (โดสแรกและโดสเสริม) และมาตรการป้องกันอื่นๆ สำหรับโควิด-19 เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะหากคุณเป็นผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัวรุนแรงหรือหลายโรค รวมถึงโรคในรายการนี้ รายการนี้ไม่ได้รวมภาวะ/โรคทั้งหมดที่ทำให้คุณมีความเสี่ยงสูงที่จะเจ็บป่วยรุนแรงจากโควิด-19 หากคุณมีภาวะ/โรคที่ไม่ได้อยู่ในรายการนี้ โปรดพูดคุยกับผู้ให้การดูแลสุขภาพเกี่ยวกับวิธีจัดการภาวะของคุณและปกป้องตัวเองจากโควิด-19
- มะเร็ง
- โรคไตเรื้อรัง
- โรคตับเรื้อรัง
- โรคปอดเรื้อรัง
- โรคสมองเสื่อมหรือภาวะทางประสาทอื่นๆ
- โรคเบาหวาน (ประเภท 1 หรือ 2)
- ดาวน์ซินโดรม
- ภาวะหัวใจ
- การติดเชื้อ HIV
- สภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ)
- ภาวะสุขภาพจิต
- น้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วน
- ตั้งครรภ์
- โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียวหรือทาลัสซีเมีย
- สูบบุหรี่ทั้งในปัจจุบันหรือเคยสูบ
- การปลูกถ่ายอวัยวะที่ไม่มีโพรงหรือปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เลือด
- โรคหลอดเลือดสมองหรือหลอดเลือดสมองผิดปกติที่ส่งผลกระทบต่อการไหลของเลือดไปเลี้ยงสมอง
- การใช้สารเสพติด
- วัณโรค
ดังนั้นการให้บริการฉีดโดสกระตุ้นโดยเร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่ออาการแทรกซ้อนรุนแรง
- บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องปานกลางหรือรุนแรงจำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์/ใบสั่งแพทย์ หรือเอกสารอื่นๆ เพื่อรับโดสกระตุ้นเหล่านี้หรือไม่
-
ไม่ บุคคลสามารถระบุข้อมูลด้วยตนเองและรับวัคซีนทุกโดสได้ในสถานที่ที่พร้อมให้บริการ มาตรการนี้จะช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงวัคซีนสำหรับบุคคลกลุ่มนี้ หากบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องมีคำถามเกี่ยวกับเงื่อนไขทางการแพทย์ที่เจาะจง ก็สามารถพูดคุยเรื่องความเหมาะสมในการเข้ารับวัคซีนโดสเสริมกับผู้ให้บริการทางการแพทย์ได้