วัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่มีค่าใช้จ่ายและมีพร้อมให้บริการแล้วสำหรับผู้ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไปโดยไม่คำนึงถึงสถานะการย้ายถิ่นฐาน
เราต้องการให้ข้อมูลที่คุณต้องการ เราจะอัปเดตข้อมูลให้คุณทราบ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูลรอบด้านเพื่อสุขภาพของคุณเอง
คุณยังสามารถฉีดวัคซีน Johnson & Johnson ได้หากไม่สามารถหรือไม่ต้องการฉีดวัคซีน mRNA โปรดพูดคุยกับผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ
- โปรดดูเอกสารสรุปข้อเท็จจริงของเราได้ที่ การรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 (PDF)
- เยี่ยมชม หน้าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัคซีน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
- โปรดดูข้อมูลเกี่ยวกับการรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับเด็กได้ในหน้า Vaccinating Youth (การฉีดวัคซีนในเยาวชน)
- ฉันจะรับวัคซีนได้อย่างไร
-
ไปที่ ตัวระบุตำแหน่งวัคซีน เพื่อค้นหาและกำหนดเวลานัดหมาย
คุณสามารถส่งข้อความรหัสไปรษณีย์ของคุณไปที่ 438-829 (GET VAX) สำหรับสถานที่วัคซีนใกล้บ้านคุณ
คุณมีคำถามเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือไม่ คุณต้องการความช่วยเหลือในการนัดหมายฉีดวัคซีนหรือไม่ โทรสายด่วนให้บริการข้อมูลโควิด-19 ที่ 1-800-525-0127 แล้วกด # มีบริการความช่วยเหลือด้านภาษา
หากคุณกำลังกำหนดเวลานัดหมายรับวัคซีนเข็มที่สอง (Moderna/Spikevax หรือ Pfizer/Comirnaty) คุณควรได้รับวัคซีนเดียวกันกับเข็มแรกของคุณ
หากคุณหรือคนรู้จักเป็นผู้ป่วยที่ติดบ้าน ให้กรอกแบบฟอร์ม online (ภาษาอังกฤษ) ที่ปลอดภัย คำตอบของคุณจะช่วยให้เราสามารถเชื่อมต่อบุคคลกับทีมวัคซีนเคลื่อนที่ของมณฑลและ/หรือของรัฐได้
สำหรับปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 เช่น การเคหะ ความช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภค ประกันสุขภาพ โทร 211 หรือไปที่ wa211.org
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูเอกสารสรุปข้อเท็จจริง วัคซีนป้องกันโควิด-19: สิ่งที่ควรทราบ
- ฉันต้องเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกาเท่านั้นถึงจะได้รับวัคซีนหรือไม่
-
ไม่ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกาเพื่อรับวัคซีน นั่นหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีหมายเลขประกันสังคม หรือเอกสารอื่นๆ ที่แสดงสถานะการเข้าเมืองเพื่อรับวัคซีน ผู้ให้บริการวัคซีนบางรายอาจขอหมายเลขประกันสังคม แต่คุณไม่จำเป็นต้องให้
บุตรของคุณไม่จำเป็นต้องเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกาเพื่อรับวัคซีน ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจะไม่สอบถามสถานะการย้ายถิ่นฐานของใครก็ตาม ในกรณีส่วนใหญ่ พ่อแม่และผู้ปกครองจะต้องยินยอมให้ฉีดวัคซีนแก่เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
Washington State Department of Health (กระทรวงสาธารณสุขของรัฐวอชิงตัน) ขอแนะนำให้ทุกคนที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไปได้รับการฉีดวัคซีน
- ฉันจะถูกเรียกเก็บค่าวัคซีนหรือไม่
-
ไม่ คุณไม่ควรถูกเรียกเก็บเงินใดๆ เมื่อคุณได้รับวัคซีน หรือรับใบเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการของคุณหรือจากสถานที่ฉีดวัคซีน ซึ่งใช้กับผู้ที่มีประกันส่วนตัวมี Apple Health (Medicaid) มี Medicare หรือไม่มีประกัน
หากคุณได้รับบริการอื่นๆ ในขณะที่คุณอยู่กับผู้ให้บริการเพื่อรับการฉีดวัคซีน คุณอาจได้รับใบเรียกเก็บเงินสำหรับการไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันปัญหานี้ คุณสามารถสอบถามผู้ให้บริการของคุณล่วงหน้าเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายได้
หากคุณไม่มีประกันสุขภาพ ผู้ให้บริการไม่สามารถเรียกเก็บค่าวัคซีนจากคุณได้ และอาจละเมิดข้อกำหนดของโครงการวัคซีนป้องกันโควิด-19 โปรดอีเมลถึง covid.vaccine@doh.wa.gov หากคุณถูกเรียกเก็บเงิน
หากคุณมีประกันสุขภาพและถูกเรียกเก็บเงิน โปรดติดต่อแผนประกันของคุณก่อน หากวิธีนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ คุณสามารถ ยื่นเรื่องร้องเรียน (ภาษาอังกฤษ) กับ Office of the Insurance Commissioner (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)
- โทร 800-562-6900 สำหรับบริการล่ามทางโทรศัพท์ (พร้อมให้บริการมากกว่า 100 ภาษา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย)
- TDD/TYY: 360-586-0241
- TDD: 800-833-6384
- ถ้าฉันไม่มีประกันสุขภาพ แล้วจะเป็นอย่างไร
-
หากคุณไม่มีประกัน แจ้งผู้ให้บริการของคุณ คุณจะยังคงได้รับวัคซีนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย รัฐบาลกลางมี โปรแกรม (ภาษาอังกฤษ) ที่จะจ่ายเงินให้ผู้ให้บริการเพื่อดูแลการฉีดวัคซีนของคุณ
- หากฉันไม่ถูกเรียกเก็บเงินสำหรับวัคซีน เหตุใดจึงมีการขอข้อมูลประกันสุขภาพของฉัน
-
เมื่อคุณได้รับวัคซีน ผู้ให้บริการวัคซีนของคุณอาจถามว่าคุณมีบัตรประกันภัยหรือไม่ เพื่อให้พวกเขาได้รับเงินคืนสำหรับการฉีดวัคซีนให้คุณ (ค่าดำเนินการฉีดวัคซีน) แจ้งให้ผู้ให้บริการของคุณทราบหากคุณไม่มีประกัน คุณจะยังคงได้รับวัคซีนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- (ค่าดำเนินการฉีดวัคซีน) แจ้งให้ผู้ให้บริการของคุณทราบหากคุณไม่มีประกัน คุณจะยังคงได้รับวัคซีนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ค่าดำเนินการฉีดวัคซีนคืออะไร และใครเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
-
ค่าดำเนินการฉีดวัคซีนคือ ค่าธรรมเนียมที่ผู้ให้บริการด้านสุขภาพเรียกเก็บเพื่อฉีดวัคซีนให้กับคุณ ซึ่งแยกต่างหากจากราคาของวัคซีน
รัฐบาลกลางจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายสำหรับค่าวัคซีนเต็มจำนวน หากคุณมีประกันสุขภาพของรัฐหรือเอกชน ผู้ให้บริการวัคซีนของคุณอาจเรียกเก็บเงินจากพวกเขาเพื่อรับเงินคืนสำหรับค่าดำเนินการฉีดวัคซีน หากคุณไม่มีประกัน รัฐบาลกลางจะเสนอ โปรแกรม (ภาษาอังกฤษ) ที่จะจ่ายเงินให้ผู้ให้บริการเพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนของคุณ
คุณไม่ควรถูกเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายจากกระเป๋าตัวเองหรือรับใบเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการของคุณสำหรับค่าธรรมเนียมการจัดการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ซึ่งใช้กับผู้ที่มีประกันส่วนตัวมี Apple Health (Medicaid) มี Medicare หรือไม่มีประกัน
- ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 อะไรบ้าง
-
วัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือได้รับการอนุมัติอย่างสมบูรณ์จาก U.S. Food and Drug Administration (FDA, องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ) มีทั้งหมดสามชนิด ปัจจุบันวัคซีนเหล่านี้มีให้บริการในรัฐ Washington แล้ว เราแนะนำให้ฉีดวัคซีน Pfizer (Comirnaty) และ Moderna (Spikevax) มากกว่าวัคซีน Johnson & Johnson เนื่องจากมีความเสี่ยงที่พบได้ยากว่าจะเกิด Thrombosis with thrombocytopenia syndrome (TTS, ลิ่มเลือดเพราะกลุ่มอาการภาวะเกล็ดเลือดต่ำ) และ Guillain-Barré Syndrome ( ,GBSกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร)
วัคซีนป้องกันโควิด-19 จาก Pfizer-BioNTech(Comirnaty):
วัคซีนนี้เป็นวัคซีนชนิดสองเข็ม ฉีดห่างกัน 21 วัน รวมทั้งยังมี:
- เข็มเสริม (เข็มที่สาม) มีไว้สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- โดสเสริมมีไว้สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปเท่านั้น โดยต้องเว้นระยะฉีดจากเข็มที่สอง 5 เดือน
คุณจะได้รับผลป้องกันเต็มที่หลังจากได้รับเข็มที่สองแล้วเป็นเวลาสองสัปดาห์ วัคซีนนี้ได้รับการอนุมัติอย่างสมบูรณ์สำหรับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปภายใต้ชื่อ Comirnaty และได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินสำหรับเยาวชนอายุ 5 ถึง 15 ปี การทดลองทางคลินิกไม่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สำคัญโดยไม่คาดคิด
วัคซีนป้องกันโควิด-19 จาก Moderna (Spikevax) :
วัคซีนนี้เป็นวัคซีนชนิดสองเข็ม ฉีดห่างกัน 28 วัน รวมทั้งยังมี:
- วัคซีนเข็มเสริม (เข็มที่สาม) มีไว้สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- โดสเสริมมีไว้สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น โดยต้องเว้นระยะฉีดจากเข็มที่สอง 5 เดือน
คุณจะได้รับผลป้องกันเต็มที่หลังจากได้รับเข็มที่สองแล้วเป็นเวลาสองสัปดาห์ การทดลองทางคลินิกไม่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สำคัญโดยไม่คาดคิด
วัคซีนป้องกันโควิด-19 จาก Johnson & Johnson – Janssen
วัคซีนนี้ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในบุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เป็นวัคซีนแบบให้เพียงครั้งเดียว (ฉีดครั้งเดียว) โดยจะมีผลป้องกันเต็มที่หลังจากได้รับเข็มที่สองแล้วเป็นเวลาสองสัปดาห์ บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังจากเข็มแรกเป็นเวลาสองเดือนขึ้นไป การทดลองทางคลินิกไม่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สำคัญโดยไม่คาดคิด เราขอแนะนำให้ฉีดวัคซีน Pfizer และ Moderna แทนการฉีดวัคซีน Johnson & Johnson
- ฉันต้องรับวัคซีนโควิด-19 ครบทุกเข็มหรือไม่
-
คนใหญ่ส่วนควรได้รับวัคซีน Comirnaty/Pfizer และ Spikevax/Moderna เป็นจำนวนสองเข็ม แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อสูงหรือตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่ดีนักอาจจำเป็นต้องได้รับสามหรือสี่เข็ม หากได้รับวัคซีน Comirnaty/Pfizer หรือ Moderna คุณจะต้องได้รับวัคซีนครบเป็นจำนวนเข็มที่แนะนำตามระดับความเสี่ยงและการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ได้รับการป้องกันโรคโควิด-19 ในระดับสูงสุด
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ Johnson & Johnson-Janssen เป็นวัคซีนแบบฉีดเพียงเข็มเดียว และแนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปได้รับเข็มกระตุ้นหลังจากได้รับเข็มแรกไปแล้วอย่างน้อย 2 เดือน
- หากฉันไปฉีดเข็มที่สองช้า ฉันต้องเริ่มชุดวัคซีนใหม่หรือไม่
-
ไม่ คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มฉีดวัคซีนใหม่หากคุณไปฉีดเข็มที่สองช้า
ฉีดเข็มที่สองโดยเร็วที่สุดหลังจากผ่านไปตามจำนวนวันที่แนะนำนับตั้งแต่การฉีดครั้งแรกของคุณ (21 วันสำหรับ Comirnaty/Pfizer, 28 วันสำหรับ Spikevax/Moderna)
สิ่งสำคัญคือต้องได้รับทั้งสองเข็ม ไม่ว่าคุณจะได้รับเข็มที่สองห่างกันแค่ไหนก็ตาม
หากคุณมีภูมิคุ้มกันบกพร่องและมีสิทธิ์ได้รับเพิ่มอีกหนึ่งเข็ม คุณควรรออย่างน้อย 28 วันหลังจากฉีดยาเข็มที่สอง
- ฉันสามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้หรือไม่ถ้าฉันตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์
-
ได้ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 มีความปลอดภัยในระหว่างการตั้งครรภ์ Centers for Disease Control and Prevention (CDC, ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น), American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG, สมาคมสูตินรีแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา) และ Society for Maternal-Fetal Medicine (SMFM, สมาคมเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) แนะนำวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือ วางแผนที่จะตั้งครรภ์ บางผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หากคุณได้รับการฉีดวัคซีน ลูกน้อยของคุณอาจได้รับแอนติบอดีต้านโควิด-19 ผ่านการตั้งครรภ์และการให้นมบุตร หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนที่ติดเชื้อโควิด-19 มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงมากขึ้น เช่น การคลอดก่อนกำหนดหรือการตายคลอด นอกจากนี้ ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ขณะตั้งครรภ์มีแนวโน้มที่จะต้องการการช่วยชีวิตขั้นสูงและใช้ท่อช่วยหายใจมากกว่าสองถึงสามเท่า
หากคุณต้องการพูดคุยกับใครสักคนเกี่ยวกับการรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ระหว่างตั้งครรภ์ โปรดติดต่อ MotherToBaby ผู้เชี่ยวชาญของ MotherToBaby พร้อมตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษหรือสเปนทางโทรศัพท์หรือแชท บริการที่ฟรีและเก็บเป็นความลับนี้พร้อมให้บริการในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ 8.00 น. ถึง 17.00 น. (เวลาท้องถิ่น) เพื่อติดต่อ MotherToBay:
- โทรไปที่ 1-866-626-6847
- แชทสด (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) หรือส่งอีเมลไปที่ MotherToBaby (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- ฉันสามารถรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 พร้อมวัคซีนที่ฉันฉีดเป็นประจำได้หรือไม่
-
ได้ Advisory Committee on Immunization Practices (ACIP, คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการสร้างภูมิคุ้มกันโรค) ได้เปลี่ยนแปลงคำแนะนำของพวกเขาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ตอนนี้ คุณสามารถรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเวลาเดียวกับที่คุณได้รับวัคซีนอื่นๆ
คุณไม่จำเป็นต้องนัดหมาย การฉีดวัคซีนของโรงเรียนที่จำเป็น ให้บุตรหลานของคุณ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) หรือวัคซีนที่แนะนำอื่นๆ แยกจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 การนัดหมายฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่จะทำให้บุตรหลานของคุณได้รับวัคซีนที่แนะนำทั้งหมด
- บัตรบันทึกการฉีดวัคซีนคืออะไร
-
คุณควรได้รับบัตรฉีดวัคซีนเมื่อได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มแรก บัตรใบนี้จะบอกประเภทวัคซีน (Comirnaty/Pfizer-BioNTech, Spikevax/Moderna หรือ Johnson & Johnson) และวันที่ที่คุณได้รับวัคซีน
หากคุณได้รับวัคซีน Comirnaty/Pfizer-BioNTech หรือ Spikevax/Moderna ผู้ให้บริการจะระบุวันนัดหมายเพื่อรับวัคซีนเข็มที่สองในวันที่คุณรับวัคซีนเข็มแรก เก็บบัตรใบนี้ไว้กับตัวเพื่อให้ผู้ให้บริการฉีดวัคซีนของคุณระบุข้อมูลหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่สอง
หากคุณได้รับวัคซีนเข็มเสริมหรือเข็มกระตุ้น คุณควรนำบัตรบันทึกการฉีดวัคซีนไปด้วยในวันที่นัดหมาย เพื่อให้ผู้ให้บริการระบุข้อมูลการรับวัคซีนเข็มเสริมได้
โปรดคำนึงถึงข้อมูลสำคัญต่อไปนี้เกี่ยวกับการเก็บบัตรฉีดวัคซีน
- เก็บบัตรฉีดวัคซีนของคุณไว้ระหว่างที่ได้รับวัคซีนและหลังจากที่ได้รับวัคซีนแล้ว
- ถ่ายภาพด้านหน้าและด้านหลังของบัตรด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเก็บไว้เป็นสำเนา
- ส่งอีเมลหาตัวเอง สร้างอัลบั้ม หรือเพิ่มแท็กในรูปภาพเพื่อให้คุณสามารถค้นหาได้สะดวกในภายหลัง
- ถ่ายสำเนาบัตรไว้ หากคุณต้องการพกสำเนาติดตัว
คุณยังสามารถรับวัคซีนเข็มที่สองได้ แม้จะไม่ได้นำบัตรฉีดวัคซีนมาในวันนัดหมายก็ตาม โดยอาจขอให้ผู้ให้บริการค้นหาประเภท (ยี่ห้อ) ของวัคซีนที่คุณได้รับครั้งแรกเพื่อยืนยันว่าจะได้รับเข็มที่สองในยี่ห้อเดียวกัน หากคุณทำบัตรฉีดวัคซีนหาย ให้เข้าสู่ระบบ MyIR (My Immunization Registry (ระบบบันทึกข้อมูลการสร้างภูมิคุ้มกันของฉัน)) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) เพื่อค้นหาบันทึกการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วถ่ายภาพหน้าจอหรือใช้อุปกรณ์อื่นถ่ายภาพข้อมูลไว้ หากไม่มีบัญชี คุณก็สามารถสมัคร MyIR ได้ตลอดเวลา
โปรดทราบว่าคุณอาจไม่สามารถตรวจสอบบันทึกผ่าน MyIR ได้ในทันที และขณะนี้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้เฉพาะเวอร์ชันภาษาอังกฤษเท่านั้น หากต้องการความช่วยเกี่ยวกับ MyIRmobile หรือสอบถามเกี่ยวกับบันทึกการฉีดวัคซีนทางโทรศัพท์ โปรดติดต่อสายด่วนโควิด-19 ของ Department of Health COVID-19 (กระทรวงสาธารณสุข) ที่หมายเลข 833-VAX-HELP หรือติดต่อผ่านทางอีเมล waiisrecords@doh.wa.gov
- ทำไมฉันจึงควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19
-
เป็นสิ่งที่คุณเลือกเองอย่างแน่นอนที่จะได้รับวัคซีนโควิด-19 ทว่า เราต้องการให้ผู้คนได้รับการฉีดวัคซีนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อหยุดยั้งโรคระบาดนี้ การแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 นั้นจะเกิดยากขึ้น เมื่อผู้คนจำนวนมากในชุมชนมีภูมิคุ้มกัน – ผ่านการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อครั้งล่าสุด ยิ่งอัตราการฉีดวัคซีนของเรานั้นสูง อัตราการติดเชื้อของเราก็จะต่ำลง
วัคซีนป้องกันโควิด-19 สามารถป้องกันคุณได้ในหลายๆ ด้าน:
- วัคซีนทำงานได้ดีในการป้องกันโควิด-19
- วัคซีนทำงานได้ดีในการป้องกันโควิด-19
- การได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วนช่วยลดโอกาสในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากโควิด-19
- การฉีดวัคซีนช่วยเพิ่มจำนวนคนในชุมชนที่ได้รับการป้องกันด้วยวัคซีน ทำให้โรคแพร่กระจายได้ยากขึ้น
- ผู้เชี่ยวชาญยังคงศึกษาความสามารถของวัคซีน เพื่อป้องกันไม่ให้คนแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่น
เมื่อคุณได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว ยังคงมีโอกาสที่คุณจะติดเชื้อโควิด-19 แต่โอกาสน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการไม่ได้ฉีดวัคซีน ในการทดลองทางคลินิก วัคซีนแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพอย่างน้อยร้อยละ 85 ในการป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรงจากโควิด-19 นอกจากนี้ วัคซีนยังป้องกันผู้คนจำนวนมากจากอาการต่างๆ ของโควิด-19:
- Johnson & Johnson (Janssen) ร้อยละ 74
- Pfizer-BioNTech ร้อยละ 95
- Moderna ร้อยละ 94
ผู้คนที่ไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนยังสามารถมีโอกาสติดไวรัสและแพร่สู่คนอื่นๆ ได้ ผู้คนบางกลุ่มไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ และทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อโควิด-19 มากเป็นพิเศษ หากคุณไม่ได้รับการฉีดวัคซีน คุณมีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้นที่จะต้องนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตจาก เชื้อกลายพันธุ์ของโควิด-19 (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) การฉีดวัคซีนจะช่วยปกป้องคุณและครอบครัว เพื่อนบ้าน และชุมชนของคุณ
- ทำไมฉันจึงควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ถ้าคนส่วนใหญ่รอดชีวิตจากโรคนี้
-
ความตายไม่ใช่ความเสี่ยงเพียงอย่างเดียวของการติดเชื้อโควิด-19 ผู้คนจำนวนมากที่ได้รับเชื้อโควิด-19 มีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไวรัสเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้อย่างยิ่ง และเราทราบดีว่า สายพันธุ์ของโควิด-19 บางสายพันธุ์ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) มีแนวโน้มที่จะทำให้คุณป่วยได้จริงๆ บางคนอาจป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ แม้แต่คนหนุ่มสาวที่ไม่มีภาวะสุขภาพเรื้อรัง ผู้คนอื่นๆ ที่รู้จักกันในชื่อ “อาการโควิดระยะยาว” อาจมีอาการนานหลายเดือนและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต เรายังไม่ทราบผลกระทบระยะยาวทั้งหมดของโควิด-19 เนื่องจากเป็นไวรัสที่อุบัติใหม่ การเข้ารับการฉีดวัคซีนคือการป้องกันที่ดีที่สุดต่อไวรัส แม้ว่าคุณจะอายุน้อยและมีสุขภาพแข็งแรง คุณก็ควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19
- เชื้อกลายพันธุ์ของโควิด-19 คืออะไร
-
ไวรัสกลายพันธุ์ (เปลี่ยนแปลง) เมื่อแพร่กระจายจากคนสู่คน 'เชื้อกลายพันธุ์' คือไวรัสสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ เชื้อกลายพันธุ์บางตัวหายไปเมื่อเวลาผ่านไปและบางส่วนยังคงแพร่กระจายในชุมชน
Centers for Disease Control and Prevention (CDC, ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) ระบุสายพันธุ์ไวรัสที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบัน สายพันธุ์ต่างๆ มีความน่ากังวลเนื่องจากแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและง่ายขึ้นทำให้เกิดการติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น
- วัคซีนป้องกันโควิด-19 ต่อต้านสายพันธุ์ต่างๆ ได้หรือไม่
-
การฉีดวัคซีนช่วยชะลอการแพร่กระจายของไวรัส และลดการแพร่กระจายของสายพันธุ์ต่างๆ นอกจากนี้ยังให้การปกป้องที่แข็งแกร่งแก่คุณจากการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากไวรัสที่รู้จักทั้งหมด
ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนบางคนอาจยังคงติดเชื้อจากสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน แต่การวิจัยแสดงให้เห็นว่าพวกเขามักจะมีอาการไม่รุนแรง หากคุณได้รับวัคซีนที่ต้องฉีดสองเข็ม สิ่งสำคัญคือต้องได้รับทั้งสองเข็ม เพื่อให้คุณได้รับการปกป้องสูงสุดจากสายพันธุ์ต่างๆ
การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะปกป้องคุณ คนที่คุณรัก และชุมชนของคุณ การฉีดวัคซีนที่มีความครอบคลุมสูงจะช่วยลดการแพร่กระจายของไวรัสและช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น
- เราจะทราบได้อย่างไรว่าวัคซีนปลอดภัยหรือไม่
-
นักวิทยาศาสตร์กำลังใช้งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวัคซีนที่ทำมานานกว่าหนึ่งทศวรรษเพื่อช่วยในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 เนื่องจากเรากำลังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดใหญ่ การพัฒนาวัคซีนใหม่จึงต้องเร่งให้เร็วกว่าปกติ ไม่มีการข้ามขั้นตอน แต่มีบางขั้นตอนที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน เช่น การให้วัคซีน การทดลอง และการผลิต
ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนแต่ละรายต้องผ่านการทดลองทางคลินิกหลายครั้ง โดยเริ่มจากอาสาสมัครกลุ่มเล็กๆ แล้วเพิ่มเป็นสองสามร้อยคน จากนั้นจึงทำการทดลองในอีกหลายพันคน หลังจากการทดลองทางคลินิก ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จะทบทวนผลการทดสอบและผลข้างเคียงใดๆ หากใช้ได้ผลและปลอดภัย วัคซีนจะได้รับการอนุมัติให้แจกจ่ายแก่ประชาชน
- ในปี 2563 Food and Drug Administration (FDA, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ได้ตรวจสอบข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกเพื่อให้ Emergency Use Authorization (EUA, การอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน) แก่วัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่าง Pfizer, Moderna และ Johnson & Johnson นักวิจัยรวบรวมข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองทางคลินิกในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ อาสาสมัครรวมกว่า 115,000 คนเข้าร่วมในการทดลองทางคลินิกสำหรับวัคซีนสามชนิดที่มีอยู่ พวกเขาไม่พบข้อกังวลด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ได้มีการมอบวัคซีนเหล่านี้ให้แก่ผู้คนหลายล้านคนอย่างปลอดภัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชากรในสหรัฐอเมริกา
- ในปี 2564 วัคซีนของ Pfizer-BioNTech ได้รับการอนุมัติอย่างเต็มที่จากองค์การอาหารและยาสำหรับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป และตั้งชื่อว่า Comirnaty FDA พิจารณาข้อมูลจากคนมากกว่า 12,000 คนที่ได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน ยังได้ตรวจสอบข้อมูลด้านความปลอดภัยจาก 22,000 คนที่ได้รับวัคซีนและ 22,000 คนที่ได้รับยาหลอก
- ธันวาคม 2021 – Centers for Disease Control and Prevention ( ,CDCศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค) ได้แนะนำให้บุคคลที่อายุ 18 ปีขึ้นไปเลือกรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบ mRNA (Pfizer หรือ Moderna) แทนที่จะรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ Johnson & Johnson เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่พบได้ยากว่าจะเกิด Thrombosis with thrombocytopenia syndrome (TTS, ลิ่มเลือดเพราะกลุ่มอาการภาวะเกล็ดเลือดต่ำ) ซึ่งประกอบด้วยการเกิดลิ่มเลือดและมีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ รวมทั้ง Guillain-Barré Syndrome ( ,GBSกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร) ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติและอาจทำลายระบบประสาท หากไม่สามารถหรือไม่ต้องการฉีดวัคซีน mRNA คุณยังสามารถฉีดวัคซีน Johnson & Johnson ได้ โปรดพูดคุยกับผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ
- FDA และ CDC มีการติดตามและตรวจสอบรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนอย่างต่อเนื่อง
- สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน โปรดดูที่ ความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโควิด-19: สิ่งที่ควรทราบ (PDF)
- เกิดอะไรขึ้นกับวัคซีนของ Johnson & Johnson
-
ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2021 เป็นต้นไป Washington State Department of Health (DOH, กรมอนามัย) ของรัฐวอชิงตัน ขอแนะนำให้คุณเลือกฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบ mRNA (Pfizer-BioNTech หรือ Moderna) แทนที่จะเลือกฉีดวัคซีน Johnson & Johnson (J&J) แบบโดสเดียว
ข้อมูลอัปเดตนี้สอดคล้องกับแนวทางของ Centers for Disease Control and Prevention ( ,CDCศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค) หลังจากที่มีการนำเสนอข้อมูลใหม่เกี่ยวกับอาการที่พบได้ยาก 2 ประการซึ่งเกิดขึ้นหลังจากได้รับวัคซีน J&J
- Thrombosis and thrombocytopenia syndrome (TTS): Thrombosis with thrombocytopenia syndrome (TTS, ลิ่มเลือดเพราะกลุ่มอาการภาวะเกล็ดเลือดต่ำ) เป็นกลุ่มอาการที่พบได้ยาก แต่มีผลร้ายแรง โดยอาจประกอบด้วยการเกิดลิ่มเลือดและมีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำในผู้ป่วยบางคนที่ได้รับวัคซีน J&J แต่ความเสี่ยงนั้นต่ำมากและเกิดขึ้นได้ยาก ในสหรัฐฯ พบว่ามีการตรวจพบอาการ TTS จำนวน 54 เคสจากการฉีดวัคซีนประมาณ 14 ล้านโดส
- Guillain-Barré Syndrome (GBS): Guillain-Barré Syndrome (GBS, กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร) คือภาวะผิดปกติทางระบบประสาท ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ทำลายเซลล์ประสาทจนส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแอและบางครั้งก็นำไปสู่อาการอัมพาต ความเสี่ยงที่จะเกิด GBS นั้นพบได้น้อยมาก นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021 เป็นต้นมา มีการรายงานเบื้่องต้น 100 เคสซึ่งระบุว่าพบอาการ GBS หลังฉีดวัคซีน J&J จากจำนวนที่ฉีดทั้งหมด 12.5 ล้านโดส
อาการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จาก J&J เท่านั้น และไม่พบในวัคซีน Pfizer หรือ Moderna ดังนั้นสำหรับบุคคลที่ต้องการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทาง DOH ขอแนะนำให้ฉีดวัคซีน Moderna และ Pfizer แต่คุณยังสามารถฉีดวัคซีน J&J ได้หากไม่สามารถหรือไม่ต้องการฉีดวัคซีนเหล่านี้ โปรดติดต่อผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ
หากคุณได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จาก J&J ภายในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือวางแผนว่าจะรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จาก J&J โปรดตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงอาการลิ่มเลือดซึ่งเกิดจาก TTS ซึ่งจะประกอบไปด้วยอาการปวดศีรษะรุนแรง อาการเจ็บปวดที่ผิดปกติ อาการเจ็บปวดที่ขา และ/หรืออาการหายใจลำบาก หากคุณพบอาการเหล่านี้ โปรดขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ทันที
เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง รวมถึงมีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และปวดตามข้อ/กล้ามเนื้อในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ผลข้างเคียงเหล่านี้มักเกิดขึ้นภายในสามวันหลังจากที่ได้รับวัคซีนและควรมีอาการเพียงไม่กี่วัน
- เมื่อวัคซีนได้รับการอนุมัติจาก FDA มีความหมายว่าอย่างไร
-
เพื่อการอนุมัติที่เต็มที่ FDA จะตรวจสอบข้อมูลในระยะเวลาที่นานกว่าการอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้วัคซีนได้รับการอนุมัติอย่างเต็มที่ ข้อมูลต้องแสดงความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และการควบคุมคุณภาพในการผลิตวัคซีนในระดับสูง
EUA อนุญาตให้ FDA ทำให้ผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานในระหว่างภาวะฉุกเฉินที่ประกาศไว้ก่อนที่จะมีใบอนุญาตเต็มรูปแบบ วัตถุประสงค์ของ EUA คือเพื่อให้แน่ใจว่าผู้คนสามารถรับวัคซีนที่ช่วยชีวิตได้ก่อนที่จะมีการวิเคราะห์ข้อมูลในระยะยาว อย่างไรก็ตาม EUA ยังคงต้องการการทบทวนข้อมูลทางคลินิกอย่างละเอียดถี่ถ้วนในช่วงเวลาที่สั้นขึ้น EUA ใดๆ ที่ได้รับจาก FDA จะได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติมโดย Scientific Safety Review Workgroup (กลุ่มงานตรวจสอบความปลอดภัยทางวิทยาศาสตร์) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Western States Pact (สนธิสัญญารัฐตะวันตก) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- Western States Pact คืออะไร
-
ในเดือนตุลาคม 2563 วอชิงตันเข้าร่วมกับโอเรกอน เนวาดา โคโลราโด และแคลิฟอร์เนียเพื่อจัดตั้งกลุ่ม Western States Scientific Safety Review Workgroup (Western States Pact) เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโควิด-19 หลังจากที่ได้รับอนุญาตจาก FDA กลุ่มงานนี้ให้การตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอีกชั้นหนึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน
คณะกรรมการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการแต่งตั้งจากทุกประเทศสมาชิก และนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการสร้างภูมิคุ้มกันและสาธารณสุข เมื่อ FDA อนุญาตให้ใช้วัคซีนในกรณีฉุกเฉิน คณะกรรมการจะตรวจสอบข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะทั้งหมดพร้อมกับการตรวจสอบของรัฐบาลกลาง และนำเสนอรายงาน กระบวนการนี้เกิดขึ้นสำหรับวัคซีนสามชนิดที่เรามีจำหน่ายในรัฐวอชิงตัน และจะเกิดขึ้นกับวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมดที่ได้รับอนุมัติ Emergency Use Authorization (EUA) ในอนาคต อ่านผลการวิจัยของกลุ่มงาน Western States Scientific Safety Review Workgroup:
- วัคซีน Pfizer-BioNTech COVID-19 (PDF) (ภาษาอังกฤษ)
- วัคซีน Moderna COVID-19่ (PDF) (ภาษาอังกฤษ)
- วัคซีน Johnson & Johnson-Janssen COVID-19 (PDF) (ภาษาอังกฤษ)
- วัคซีนป้องกันโควิด-19 มีกลไกการทำงานในร่างกายอย่างไร
-
วิดีโอนี้ อธิบายวิธีการทำงานของวัคซีนใน ร่างกายของคุณ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น).
วัคซีน mRNA (วัคซีน Pfizer และ Moderna COVID-19)
วัคซีนที่มีอยู่สองชนิดเรียกว่าวัคซีน messenger RNA (mRNA)
วัคซีน mRNA สอนให้เซลล์ของคุณสร้างสไปค์โปรตีน (โปรตีนส่วนหนาม) ของโคโรนาไวรัสที่ไม่เป็นอันตราย ระบบภูมิคุ้มกันของคุณมองว่าโปรตีนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน และร่างกายจะเริ่มสร้างแอนติบอดี แอนติบอดีเหล่านี้จำวิธีต่อสู้กับเชื้อโควิด-19 หากคุณติดเชื้อในอนาคต เมื่อได้รับการฉีดวัคซีน คุณจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 โดยไม่ต้องมีการเจ็บป่วย เมื่อมันทำงาน mRNA จะสลายตัวอย่างรวดเร็วและร่างกายจะกำจัดออกภายในสองถึงสามวัน
วัคซีนเวกเตอร์ไวรัส (วัคซีน Johnson & Johnson COVID-19)
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดหนึ่งเรียกว่าวัคซีนเวกเตอร์ไวรัส
วัคซีนเวกเตอร์สร้างขึ้นจากไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนแอลง (เป็นไวรัสที่แตกต่างจากไวรัสที่ทำให้เกิดโควิด-19) วัคซีนนี้สอนให้เซลล์ของคุณสร้างสไปค์โปรตีน (โปรตีนส่วนหนาม) ของโคโรนาไวรัสที่ไม่เป็นอันตราย ระบบภูมิคุ้มกันของคุณมองว่าโปรตีนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน และร่างกายจะเริ่มสร้างแอนติบอดี ร่างกายจะเรียนรู้วิธีป้องกันตัวคุณจากการติดเชื้อโควิด-19 ในอนาคต โดยที่คุณไม่ต้องมีการเจ็บป่วย
วัคซีนเวกเตอร์ที่เรามีเป็นแบบให้ครั้งเดียว โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์หลังจากได้รับวัคซีนครั้งที่สอง เพื่อให้ได้รับการป้องกันสูงสุด
บางครั้งการฉีดวัคซีนอาจทำให้มีไข้เล็กน้อยหรือมีอาการคล้ายหวัด แต่อาการเหล่านี้ไม่เป็นอันตราย
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูแหล่งข้อมูล เหล่านี้: ภาพรวมของวัคซีนป้องกันโควิด-19 และ วัคซีนป้องกันโควิด-19: สิ่งที่ควรทราบ
เมื่อผู้คนในชุมชนสามารถต่อสู้กับไวรัสโคโรนาได้มากพอ เชื้อไวรัสก็ไม่สามารถแพร่ระบาดได้ ซึ่งหมายความว่าเราสามารถหยุดการแพร่ระบาดได้เร็วขึ้น และเข้าใกล้การยุติการแพร่ระบาดใหญ่นี้ไปอีกนิด
- วัคซีนป้องกันโควิด-19 ผลิตขึ้นอย่างไร
-
วิดีโอสั้นๆ นี้อธิบาย วิธีผลิตวัคซีนโควิด (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- วัคซีน mRNA คืออะไร
-
วัคซีน messenger RNA หรือวัคซีน mRNA เป็นวัคซีนชนิดใหม่ วัคซีน mRNA สอนเซลล์ของคุณวิธีสร้างสไปค์โปรตีน (โปรตีนส่วนหนาม) ที่ไม่เป็นอันตราย สไปค์โปรตีน (โปรตีนส่วนหนาม) คือสิ่งที่คุณเห็นบนพื้นผิวของไวรัสโคโรน่า ระบบภูมิคุ้มกันของคุณมองว่าโปรตีนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน และร่างกายของคุณจะเริ่มสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและสร้างแอนติบอดี ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราติดเชื้อโควิด-19 “ตามธรรมชาติ” เมื่อมันทำงาน mRNA จะสลายตัวอย่างรวดเร็วและร่างกายจะกำจัดออกภายในสองสามวัน
แม้ว่าเราจะเคยใช้ mRNA สำหรับการดูแลทางการแพทย์และสัตวแพทย์ประเภทอื่นๆ มาก่อนแล้ว แต่การสร้างวัคซีนโดยใช้วิธีนี้ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในด้านวิทยาศาสตร์ และอาจหมายถึงการสร้างวัคซีนในอนาคตที่ง่ายขึ้น
คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการทำงานของวัคซีน mRNA บนเว็บไซต์ของ CDC ได้ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- วัคซีนเวกเตอร์ไวรัสคืออะไร
-
วัคซีนชนิดนี้ใช้ไวรัสชนิดอื่น ("เวกเตอร์") ที่อ่อนแอกว่าซึ่งจะสั่งเซลล์ของคุณ เวกเตอร์เข้าไปในเซลล์และใช้กลไกของเซลล์เพื่อสร้างสไปค์โปรตีนจากโควิด-19 ที่ไม่เป็นอันตราย เซลล์จะแสดงสไปค์โปรตีนบนผิวของมัน และระบบภูมิคุ้มกันของคุณมองว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะเริ่มสร้างแอนติบอดีและกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่คิดว่าเป็นการติดเชื้อ ร่างกายจะเรียนรู้วิธีป้องกันตัวคุณจากการติดเชื้อโควิด-19 ในอนาคต โดยที่คุณไม่ต้องมีการเจ็บป่วย
- ส่วนผสมในวัคซีนประกอบด้วยอะไรบ้าง
-
ส่วนผสมในวัคซีนป้องกันโควิด-19 นั้นค่อนข้างธรรมดาสำหรับวัคซีน วัคซีนประกอบด้วยสารออกฤทธิ์อย่างสารอาร์เอ็นเอ (mRNA) พร้อมกับไขมัน เกลือ และน้ำตาลเพื่อปกป้อง mRNA และช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้นในร่างกาย อีกทั้งยังปกป้องตัววัคซีนระหว่างการเก็บและการขนส่ง
วัคซีน Pfizer, Moderna และ Johnson and Johnson ไม่มีส่วนประกอบของ เซลล์มนุษย์ (รวมทั้งเซลล์ของตัวอ่อนในครรภ์) ไวรัสโควิด-19 น้ำยาง วัตถุกันเสีย หรือผลพลอยได้จากสัตว์ใดๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์หรือเจลาตินจากสุกร วัคซีนไม่เติบโตในไข่และไม่มีส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จากไข่
ดู คำถามที่พบบ่อยนี้; หน้าเว็บจาก Children's Hospital of Philadelphia (ภาษาอังกฤษ) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับส่วนผสม โปรดดูที่รายการส่วนผสมทั้งหมดในเอกสารประกอบข้อมูลของ Pfizer (ภาษาอังกฤษเท่านั้น), Moderna (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) และ Johnson & Johnson (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- วัคซีนของ Johnson & Johnson มีส่วนผสมเนื้อเยื่อของทารกในครรภ์หรือไม่
-
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ Johnson & Johnson สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับวัคซีนอื่นๆ วัคซีนไม่ประกอบด้วยส่วนของทารกในครรภ์หรือเซลล์ของทารกในครรภ์ ส่วนประกอบอย่างหนึ่งของวัคซีนของ Johnson & Johnson ผลิตจากเซลล์ที่เพาะเลี้ยงในห้องแล็บ ซึ่งเป็นเซลล์ที่ได้มาจากการเลือกยุติการตั้งครรภ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 35 ปีที่แล้ว ตั้งแต่นั้นมา เซลล์ของวัคซีนเหล่านี้ได้รับการดูแลในห้องแล็บ ไม่ใช้แหล่งเซลล์ของทารกในครรภ์เป็นส่วนผสมเพิ่มเติมเพื่อผลิตวัคซีนเหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นข้อมูลใหม่สำหรับผู้คน อย่างไรก็ตาม วัคซีนอื่นๆ อีกหลายตัว รวมถึงวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส หัดเยอรมัน และไวรัสตับอักเสบเอ ก็ผลิตด้วยวิธีเดียวกัน
- วัคซีนป้องกันโควิด-19 ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากหรือไม่
-
ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงว่าวัคซีนทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากหรือความไร้สมรรถภาพทางเพศ เมื่อวัคซีนเข้าสู่ร่างกายของคุณ มันจะทำงานร่วมกับระบบภูมิคุ้มกันของคุณเพื่อสร้างแอนติบอดีเพื่อต่อสู้กับไวรัสโคโรนา กระบวนการนี้ไม่รบกวนอวัยวะสืบพันธุ์ของคุณ
Centers for Disease Control and Prevention (CDC) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น),American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) (ภาษาอังกฤษ) และ Society for Maternal-Fetal Medicine (SMFM) (ภาษาอังกฤษ) แนะนำวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ ผู้คนจำนวนมากที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ตั้งครรภ์หรือคลอดทารกที่แข็งแรง
ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าวัคซีนใดๆ รวมถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทำให้เกิดภาวะการมีบุตรยากในผู้ชาย การศึกษาขนาดเล็กล่าสุดเกี่ยวกับผู้ชายสุขภาพดี 45 คน (ภาษาอังกฤษ) ที่ได้รับวัคซีน mRNA COVID-19 (เช่น Pfizer-BioNTech หรือ Moderna) ได้ดูที่สเปิร์มในลักษณะต่างๆ เช่น ปริมาณและการเคลื่อนไหวทั้งก่อนและหลังการฉีดวัคซีน นักวิจัยพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในลักษณะของตัวอสุจิหลังการฉีดวัคซีน
ไข้จากการเจ็บป่วยเกี่ยวข้องกับการลดลงของการผลิตอสุจิในผู้ชายที่มีสุขภาพดีในระยะสั้น แม้ว่าไข้อาจเป็นผลข้างเคียงชั่วคราวของการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าไข้หลังการฉีดวัคซีนโควิดส่งผลต่อการผลิตสเปิร์ม
ดู ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตร (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) ของ CDC สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม คุณยังสามารถดู หน้าเว็บวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ CDC ได้ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีน
- หลังจากรับวัคซีนแล้วจะมีอาการอย่างไร
-
วัคซีนป้องกันโควิด-19 Pfizer/Comirnaty, Moderna/Spikevax และ Johnson & Johnson – Janssen
เช่นเดียวกับวัคซีนปกติอื่นๆ ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ เจ็บแขน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะและปวดกล้ามเนื้อ
อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณบอกว่าวัคซีนได้ผล ในการทดลอง Pfizer และ Moderna ผลข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยที่สุดภายในสองวันหลังจากได้รับวัคซีน และจะมีอาการเป็นเวลาประมาณหนึ่งวัน ผลข้างเคียงพบได้บ่อยหลังจากการฉีดวัคซีนเข็มที่สองมากกว่าเข็มแรก ในการทดลองทางคลินิกของ Johnson & Johnson ผลข้างเคียงจะมีอาการเป็นเวลาโดยเฉลี่ยหนึ่งถึงสองวัน
สำหรับวัคซีนทั้งสามชนิด ผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปีมีโอกาสน้อยที่มีรายงานผลข้างเคียงมากกว่าคนที่อายุน้อยกว่า
การทดลองทางคลินิกพบว่าประมาณ:
Pfizer/Comirnaty
- ร้อยละแปดสิบของผู้คนรายงานว่ามีอาการปวดบริเวณที่ฉีด
- ร้อยละห้าสิบของผู้คนรายงานว่ามีอาการเมื่อยล้าและปวดศีรษะ
- ร้อยละสามสิบของผู้คนรายงานว่ามีอาการปวดกล้ามเนื้อ
Moderna/Spikevax
- ร้อยละเก้าสิบของผู้คนรายงานว่ามีอาการปวดบริเวณที่ฉีด
- ร้อยละเจ็ดสิบของผู้คนรายงานว่ามีอาการเมื่อยล้าและปวดศีรษะ
- ร้อยละหกสิบของผู้คนรายงานว่ามีอาการปวดกล้ามเนื้อ
Johnson & Johnson
- ร้อยละหกสิบของผู้คนรายงานว่ามีอาการปวดบริเวณที่ฉีด
- ร้อยละสี่สิบห้าของผู้คนรายงานว่ามีอาการเมื่อยล้าและปวดศีรษะ
- ร้อยละสี่สิบของผู้คนรายงานว่ามีอาการปวดกล้ามเนื้อ
คุณอาจเห็นข่าวลือเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่ไม่จริงทางออนไลน์หรือในโซเชียลมีเดีย ตรวจสอบให้แน่ใจทุกครั้งที่คุณเห็นการกล่าวถึงผลข้างเคียง คุณได้ตรวจสอบแหล่งที่มาของการกล่าวถึงนั้น
- จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันป่วยหลังจากได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19
-
เช่นเดียวกับวัคซีนตามปกติอื่นๆ การฉีดวัคซีนโควิด-19 มักมีผลข้างเคียง เช่น เจ็บแขน มีไข้ ปวดหัว หรือเหนื่อยล้าหลังจากได้รับวัคซีน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าวัคซีนกำลังทำงาน
หากคุณมีอาการหลังจากได้รับวัคซีน คุณอาจสงสัยว่าการกลับไปทำงานหรือทำงานงานต่อจะปลอดภัยหรือไม่ นายจ้างอาจสงสัยว่าพนักงานสามารถกลับไปทำงานได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ วัคซีนจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากที่คุณรับำวัคซีนครบชุด (Pfizer หรือ Moderna 2 เข็ม หรือ Johnson & Johnson 1 เข็ม) ก่อนที่คุณจะได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ ดังนั้นคุณจึงอาจติดเชื้อโควิด-19 ได้หากคุณเคยสัมผัสเชื้อมาก่อนหน้านั้น สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละคนทำงานแตกต่างกันเล็กน้อย และวัคซีนจะไม่ได้ผลประมาณ 1 ใน 2,500 คนที่ได้รับการฉีดวัคซีน
แผนภูมินี้ (PDF) ช่วยให้คุณเข้าใจว่าคุณกำลังตอบสนองต่อวัคซีนหรือ หากคุณจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 และกักตัว หากมีอาการปานกลาง คุณอาจต้องไปพบแพทย์หรือรอดูอาการ หากอาการของคุณหายไปในหนึ่งหรือสองวัน อาจเป็นเพราะปฏิกิริยาของวัคซีนเท่านั้น หากยังคงมีอาการต่อไปหรือรู้สึกว่าควร ให้ปรึกษาแพทย์ หากมีความเป็นไปได้ว่าคุณติดเชื้อโควิด-19 หรือสัมผัสเชื้อ โปรดอยู่ห่างจากผู้อื่นเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน หากคุณประสบเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์หลังจากได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้โทร 9-1-1 ทันที
หากคุณป่วยหลังจากได้รับวัคซีน คุณควรรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ไปที่ Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS, ระบบการรายงานผลแพ้ข้างเคียงวัคซีน) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์” คือปัญหาสุขภาพหรือผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังการฉีดวัคซีน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ VAERS โปรดดู "VAERS คืออะไร" ที่ด้านล่าง
- VAERS คืออะไร
-
VAERS เป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่นำโดย Centers for Disease Control and Prevention (CDC) และ Food and Drug Administration (FDA) VAERS สามารถช่วยตรวจหาปัญหาที่อาจเกี่ยวข้องกับวัคซีนได้
ทุกคน (ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ผู้ป่วย ผู้ดูแล) สามารถรายงานอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นกับ VAERS (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
ระบบมีข้อจำกัด รายงาน VAERS ไม่ได้หมายความว่าวัคซีนทำให้เกิดปฏิกิริยาหรือผลลัพธ์ แต่หมายความว่าการฉีดวัคซีนเกิดขึ้นก่อนเท่านั้น
VAERS ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สังเกตเห็นแนวโน้มหรือเหตุผลที่ควรตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ไม่ใช่รายการผลการตรวจสอบของการฉีดวัคซีน
เมื่อคุณรายงานต่อ VAERS คุณได้ช่วย CDC และ FDA ระบุข้อกังวลด้านสุขภาพที่เป็นไปได้และทำให้แน่ใจว่าวัคซีนมีความปลอดภัย หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น พวกเขาจะดำเนินการและแจ้งผู้ให้บริการด้านสุขภาพเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- ฉันสามารถรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่ หากเคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน
-
ได้ Advisory Committee on Immunization Practices (ACIP, คณะกรรมการที่ปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางการสร้างภูมิคุ้มกัน) แนะนำให้ทุกคนที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มารับวัคซีน
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติที่จะติดเชื้อโควิด-19 อีกครั้งใน 90 วันหลังจากที่คุณติดเชื้อแล้ว ดังนั้นคุณอาจมีภูมิป้องกันบางอย่าง (เรียกว่า ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ) อย่างไรก็ตาม เราไม่รู้ว่าภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจะอยู่ได้นานแค่ไหน
ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ควรรอจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น และสิ้นสุดระยะเวลาการกักตัว จึงเข้ารับการฉีดวัคซีน หากเป็นไปได้
ผู้ที่เพิ่งสัมผัสกับเชื้อโควิด-19 ควรรอจนกว่าจะพ้นระยะเวลากักตัว หากสามารถกักตัวให้ห่างจากผู้อื่นได้อย่างปลอดภัย จึงเข้ารับการฉีดวัคซีน หากมีความเสี่ยงสูงที่อาจแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น อาจได้รับการฉีดวัคซีนในช่วงกักตัว เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
สำหรับเอกสารคำแนะนำเฉพาะการแยกตัวและการกักตัว โปรดไปที่แท็บการกักตัวและการแยกตัวของ หน้าเว็บแหล่งข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับโควิด-19 ของเรา (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- ฉันสามารถรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่ หากฉันเคยมีอาการแพ้วัคซีนมาก่อน
-
ไม่ควรให้วัคซีนแก่ผู้ที่มีประวัติอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น ภูมิแพ้ วัคซีน mRNA หรือวัคซีนไวรัสเวกเตอร์ครั้งก่อน หรือส่วนผสมใดๆ ของวัคซีนป้องกันโควิด-19 Pfizer-BioNTech/Comirnaty (ภาษาอังกฤษเท่านั้น), Moderna/Spikevax (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) หรือ Johnson & Johnson–Janssen (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
ผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อวัคซีนหรือการบำบัดด้วยวิธีฉีดอื่นๆ อาจยังคงสามารถรับวัคซีนได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการควรทำการประเมินความเสี่ยงและให้คำแนะนำเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น หากผู้ป่วยตัดสินใจรับวัคซีน ผู้ให้บริการควรสังเกตอาการเป็นเวลา 30 นาทีเพื่อติดตามปฏิกิริยาในทันที
Advisory Committee on Immunization Practices (ACIP) แนะนำให้ผู้ให้บริการสังเกตผู้ป่วยรายอื่นๆ ทั้งหมดเป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาทีหลังจากได้รับวัคซีนเพื่อติดตามปฏิกิริยาการแพ้ โปรดดู ข้อพิจารณาทางคลินิกชั่วคราวสำหรับวัคซีน mRNA ของ ACIP (ภาษาอังกฤษ) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
- วัคซีน COVID-19 จำเป็นหรือไม่
-
การรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือไม่เป็นทางเลือกของคุณ แต่นายจ้าง วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยบางแห่งกำหนดว่าต้องฉีด
- ข้อมูลเกี่ยวกับข้อกำหนดวัคซีนของผู้ว่าราชการ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) สำหรับพนักงานและผู้รับเหมาของหน่วยงานของรัฐ ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ สถานศึกษา และสถานรับเลี้ยงเด็ก
วอชิงตันกำหนดให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับ:
- เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพและเจ้าหน้าที่ดูแลระยะยาว (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- พนักงานหน่วยงานของรัฐ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- พนักงานในสถานศึกษา (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) รวมถึง:
- พนักงานและผู้รับเหมาที่ทำงานให้กับโรงเรียนเอกชน K-12 เขตโรงเรียนรัฐ K-12 โรงเรียนในกำกับของรัฐ และเขตบริการการศึกษา (คำสั่งนี้ใช้ไม่ได้กับ state-tribal education compact schools หรือกับนักเรียน)
- ผู้ให้บริการการดูแลเด็กและการเรียนรู้ปฐมวัยที่ให้บริการดูแลเด็กจากหลายครัวเรือนและ
- พนักงานในระดับการศึกษาสูง
พนักงานเหล่านี้ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างครบถ้วน (อย่างน้อยสองสัปดาห์หลังจากฉีดครบชุดวัคซีน) ภายในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ข้อกำหนดนี้รวมถึงผู้รับเหมา อาสาสมัคร และตำแหน่งอื่นๆ ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมเหล่านี้
หากคุณอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือนายจ้างหรือโรงเรียนของคุณกำหนดให้ต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ปรึกษากับแผนกทรัพยากรบุคคล นายจ้าง หรือโรงเรียนเพื่อให้รู้ว่าต้องทำอย่างไร Department of Health (กระทรวงสาธารณสุข) ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายของนายจ้าง หรือวิทยาลัย/มหาวิทยาลัย
วัคซีนจะช่วยปกป้องคุณและคนอื่นๆ รอบตัวคุณจากการติดเชื้อโควิด-19 และเราขอแนะนำให้คุณปรึกษาแพทย์หรือคลินิกของคุณเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับ
- บุตรของฉันจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อไปโรงเรียน K-12 หรือสถานรับเลี้ยงเด็กหรือไม่
-
ไม่ ปัจจุบันวอชิงตันไม่ได้กำหนดว่าเด็กต้องรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียน K-12 หรือไปสถานรับเลี้ยงเด็ก ดู หน้าการสร้างภูมิคุ้มกัน (ภาษาอังกฤษ) ของเราสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกำหนดปัจจุบัน
หากบุตรหลานของคุณไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 คุณไม่จำเป็นต้องได้รับใบรับรองการยกเว้นเนื่องจากไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน Washington State Board of Health (คณะกรรมการสุขภาพแห่งรัฐวอชิงตัน) กำหนดวัคซีนที่จำเป็นสำหรับโรงเรียนและสถานรับเลี้ยงเด็ก
- ข้อกำหนดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับพนักงาน K-12 คืออะไร
-
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ผู้ว่าราชการ Inslee ได้ประกาศคำสั่งที่กำหนดให้พนักงานโรงเรียน K–12 ของรัฐและเอกชนทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครบถ้วน หรือได้รับการยกเว้นทางศาสนาหรือทางการแพทย์ภายในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2564
คำสั่งนี้มีผลกับ พนักงานในสถานศึกษา (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) ซึ่งรวมถึง:
- พนักงานและผู้รับเหมาที่ทำงานให้กับโรงเรียนเอกชน K-12 เขตโรงเรียนรัฐ K-12 โรงเรียนในกำกับของรัฐ และเขตบริการการศึกษา (คำสั่งนี้ใช้ไม่ได้กับ state-tribal education compact schools หรือกับนักเรียน)
- ผู้ให้บริการการดูแลเด็กและการเรียนรู้ปฐมวัยที่ให้บริการดูแลเด็กจากหลายครัวเรือนและ
- พนักงานในระดับการศึกษาสูง
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดู ข้อกำหนดการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับพนักงานโรงเรียน K-12: คำถามที่พบบ่อย (PDF) (ภาษาอังกฤษ) (สำนักงานผู้กำกับการของกระทรวงธรรมการ)
- ฉันจะได้รับการยกเว้นจากข้อกำหนดของวัคซีนได้อย่างไร
-
หากนายจ้างหรือวิทยาลัย/มหาวิทยาลัยของคุณกำหนดให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือคุณจำเป็นต้องฉีดีวัคซีนตามคำสั่งรัฐบาล Jay Inslee ประกาศของวันที่ 9 สิงหาคม (ภาษาอังกฤษ) หรือ ประกาศของวันที่ 18 สิงหาคม (ภาษาอังกฤษ) คุณควรติดต่อนายจ้างหรือวิทยาลัย/มหาวิทยาลัยของคุณเพื่อดูว่าพวกเขารวบรวมหลักฐานการฉีดวัคซีนอย่างไร หรือพวกเขามีนโยบายไม่เข้าร่วมหรือไม่ และสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อไม่เข้าร่วม Department of Health (กระทรวงสาธารณสุข) ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายของนายจ้าง หรือวิทยาลัย/มหาวิทยาลัย
คุณไม่จำเป็นต้องได้รับแบบฟอร์มยกเว้นจาก Department of Health (กระทรวงสาธารณสุข) สำหรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 DOH ไม่มีแบบฟอร์มยกเว้นสำหรับัคซีนป้องกันโควิด-19 ว้นของรัฐวอชิงตัน Certificate of Exemption (COE, ใบรับรองการยกเลิก) มีไว้สำหรับพ่อแม่/ผู้ปกครองที่ต้องการยกเว้นบุตรหลานของตนจากการฉีดวัคซีนที่จำเป็นสำหรับเด็กในโรงเรียน K-12 โรงเรียนอนุบาล หรือสถานรับเลี้ยงเด็กเท่านั้น ปัจจุบันวอชิงตันไม่ได้กำหนดว่าเด็กต้องรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนหรือไปสถานรับเลี้ยงเด็ก จึงไม่รวมอยู่ใน COE.
- ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีสามารถรับวัคซีนได้หรือไม่
-
ได้ เยาวชนอายุ 5 ปีขึ้นไปสามารถรับวัคซีน Pfizer-BioNTech ได้ เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปีอาจต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) เพื่อรับวัคซีน เว้นแต่จะได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน้าเว็บ Vaccinating Youth (การฉีดวัคซีนในเยาวชน)
สอบถามเกี่ยวกับข้อกำหนดในการแสดงหลักฐานการยินยอมของผู้ปกครองหรือหลักฐานแสดงการบรรลุนิติภาวะได้ที่คลินิกวัคซีน
- รัฐจะกำหนดให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อเข้าโรงเรียน K-12 หรือไม่
-
State Board of Health (คณะกรรมการสุขภาพแห่งรัฐ) เป็นผู้มีอำนาจในการสร้างข้อกำหนดการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กในโรงเรียนระดับ K-12 (Revised Code of Washington (RCW, ประมวลกฎหมายฉบับปรับปรุงของรัฐวอชิงตัน) 28A.210.140) ไม่ใช่ Department of Health
คณะกรรมการกำลังประสานกับ Department of Health เพื่อเรียกประชุม Technical Advisory Group (กลุ่มที่ปรึกษาทางเทคนิค) เพื่อหารือว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ควรได้รับการพิจารณาว่าขัดต่อหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการหรือไม่ และให้ข้อเสนอแนะว่าควรเพิ่มวัคซีนดังกล่าวลงในรายการวัคซีนที่จำเป็นสำหรับการเข้าโรงเรียนประจำรัฐหรือไม่ โดยคณะกรรมการวางแผนที่จะจัดการบรรยายสรุปความคืบหน้าของกลุ่มที่ปรึกษาในการประชุมสาธารณะในเดือนมกราคม 2022
- ลูกของฉันสามารถรับวัคซีนอื่นในขณะที่รับวัคซีนโควิด-19 ได้หรือไม่
-
ประชาชนสามารถรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ภายใน 14 วันนับจากการรับวัคซีนอื่นๆ รวมทั้งในวันเดียวกัน
- ข้อกำหนดการให้วัคซีนในโรงเรียนสำหรับปีการศึกษา 2564-2565 จะมีความยืดหยุ่นหรือไม่เนื่องจากการระบาดของโควิด-19
-
คณะกรรมการสุขภาพแห่งรัฐกำหนดว่าควรมีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดด้านการฉีดวัคซีนของโรงเรียนหรือไม่ ณ ตอนนี้ ข้อกำหนดการฉีดวัคซีนของโรงเรียนจะยังคงเหมือนเดิม เด็กๆ จะต้องมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดในการฉีดวัคซีนก่อนจึงจะสามารถเข้าเรียนในวันแรกของโรงเรียนได้
- การฉีดวัคซีนที่ครบถ้วนหมายความว่าอย่างไร
-
คุณจะได้รับการพิจารณาฉีดวัคซีนครบถ้วนสองสัปดาห์หลังจากฉีดวัคซีนป้องกัน-19 ครั้งที่สองในชุดสองเข็ม (Pfizer-BioNTech หรือ Moderna) หรือสองสัปดาห์หลังการฉีดวัคซีนเข็มเดียว (Johnson and Johnson (J&J)/Janssen)
- ฉันควรทำอย่างไรเมื่อได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว
-
เมื่อคุณได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว คุณ:
- ไม่จำเป็นต้องกักตัวหรือรับการตรวจหลังจากสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ถ้าคุณไม่มีอาการ
- สามารถเดินทางภายในประเทศได้โดยไม่ต้องมีการตรวจก่อนหรือหลังการเดินทาง และคุณไม่จำเป็นต้องกักตัว
- ควรรักษาบัตรฉีดวัคซีนของคุณเหมือนเป็นสูติบัตรหรือเอกสารสำคัญอื่นๆ! ถ่ายรูปแล้วเก็บไว้ที่บ้าน ในอนาคต คุณอาจ จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าคุณได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ ธุรกิจจำนวนมากเสนอผลประโยชน์ให้กับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน
- ควรเก็บหลักฐานการฉีดวัคซีนอย่างเป็นทางการไว้กับคุณ ดูตัวอย่างที่นี่: คู่มือภาพเพื่อพิสูจน์การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างเป็นทางการของรัฐวอชิงตัน (PDF)
- ต้องสวมหน้ากากในสถานที่ร่มสาธารณะ
- ควรใช้ความระมัดระวังอื่นๆ ตามที่ระบุไว้ในคำถามด้านล่าง "หากฉันได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว ฉันยังต้องใช้มาตรการป้องกันอื่นๆ อีกหรือไม"่
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมดูวิดีโอนี้: สิ่งที่คาดหวังหลังจากได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 คืออะไร (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- หากฉันได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว ฉันยังต้องใช้มาตรการป้องกันอื่นๆ อีกหรือไม่
-
ได้ แม้ว่าคุณจะฉีดวัคซีนครบแล้ว คุณก็ควรสวมหน้ากากในสถานที่ร่มสาธารณะ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ผลดี แต่ไม่ได้ผล 100% บางคนอาจติดเชื้อโควิด-19 แม้ว่าจะเคยฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม ด้วยการเพิ่มขึ้นของเชื้อกลายพันธุ์ที่สามารถแพร่เชื้อได้มากขึ้น ทุกคนจึงควรระมัดระวัง เช่น การสวมหน้ากากเพื่อลดการแพร่เชื้อไวรัส
แม้ว่าคุณได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว คุณยังควร:
- สวมหน้ากากที่พอดีในที่สาธารณะในสถานที่ร่มสาธารณะทุกแห่ง
- ล้างมือบ่อยๆ
- เคารพกฎของพื้นที่ที่คุณอยู่
- รับการตรวจ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) หากมีอาการการติดเชื้อโควิด-19
- ปฏิบัติตาม คำแนะนำการเดินทาง (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) ของ CDC และ กระทรวงสาธารณสุข
- เพิ่ม WA Notify (การแจ้งเตือน WA) ไปยังสมาร์ทโฟนของคุณเพื่อเตือนคุณหากคุณอาจเคยติดเชื้อโควิด-19 และแจ้งเตือนผู้อื่นโดยไม่ระบุชื่อหากคุณตรวจแล้วได้ผลเป็นบวก WA Notify ให้ความเป็นส่วนตัวโดยสมบูรณ์และจะไม่ทราบว่าคุณคือใครหรือติดตามว่าคุณไปที่ไหนมาบ้าง
โปรดดูคำแนะนำในการปกปิดใบหน้าและสวมหน้ากาก (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) และดูข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจเชื้อโควิด-19 เอกสารคำแนะนำเฉพาะทางได้ใน ข้อมูลการตรวจเชื้อโควิด-19 (PDF) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- ฉันยังต้องสวมหน้ากากในสถานที่ร่มสาธารณะหรือไม่
-
ทุกคนที่อายุเกิน 2ขวบต้องสวมหน้ากากในสถานที่ร่มสาธารณะทุกแห่ง
ผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือได้รับการฉีดวัคซีนบางส่วนจะต้องสวมหน้ากากต่อไปและอยู่ห่างกัน 6 ฟุต (2 เมตร) ในที่สาธารณะทุกแห่ง
- หากฉันสัมผัสเชื้อโควิด-19 และได้รับวัคซีนครบแล้ว ฉันจำเป็นต้องกักตัวหรือไม่
-
ไม่ หากคุณได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องกักตัวหรือเข้ารับการตรวจหากคุณสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ตราบใดที่คุณไม่แสดงอาการป่วย อย่างไรก็ตาม คุณควรเฝ้าระวังอาการโควิด-19 ของตัวเองเป็นเวลา 14 วันหลังจากสัมผัสเชื้อ
หากคุณเริ่มมีอาการ ให้กักตัวเองและติดต่อผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณ บอกพวกเขาว่าคุณได้รับการฉีดวัคซีนแล้วก่อนที่คุณจะขอการตรวจหรือประเมินผล
- คนที่ได้รับวัคซีนและไม่ได้รับวัคซีนจากครัวเรือนต่างๆ มาเยี่ยมกันได้หรือไม่
-
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากครัวเรือนใดครัวเรือนหนึ่งมีผู้คนที่ มีความเสี่ยงสูงที่จะเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 อย่างรุนแรง (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) คุณควรไปที่ที่กลางแจ้งหรือในร่มโดยเปิดหน้าต่างไว้ สวมหน้ากากที่พอดี และรักษาระยะห่างทางกาย (อย่างน้อย 6 ฟุต / 2 เมตร)
หากไม่มีบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงในครัวเรือนทั้งสอง การไปเที่ยวนอกบ้านหรือในที่ส่วนตัวในร่มโดยไม่สวมหน้ากากมีความเสี่ยงต่ำที่จะแพร่เชื้อโควิด-19
- จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบางคนในครัวเรือนของฉันได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนและบางคนไม่ได้รับวัคซีน
-
หากมีเพียงบางคนในครัวเรือนของคุณที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน คุณควรระมัดระวังเสมือนว่าครัวเรือนของคุณไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งหมายความว่าคุณควรสวมหน้ากากและอยู่ห่างกัน 6 ฟุต (2 เมตร) เมื่อไปเยี่ยมกับผู้คนจากครัวเรือนอื่นๆ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนบางส่วนหรือไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และหลีกเลี่ยงการชุมนุมถ้าเป็นไปได้
คุณสามารถเยี่ยมเยียนผู้คนจากครัวเรือนที่ได้รับวัคซีนครบหนึ่งครัวเรือนในแต่ละครั้ง ตราบใดที่ไม่มีใครในครัวเรือนของคุณมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 อย่างรุนแรง
- ฉันสามารถรวมกลุ่มกับกลุ่มใหญ่ได้หรือไม่ ถ้าพวกเราทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว
-
การรวมตัวระหว่างผู้ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนนั้นน่าจะปลอดภัย Department of Health (กระทรวงสาธารณสุข) ขอแนะนำอย่างยิ่งว่าทุกคนสวมหน้ากากอนามัยในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านกลางแจ้ง เมื่อไม่สามารถรักษาระยะห่างที่เพียงพอจากผู้อื่นภายนอกบ้านได้โดยไม่คำนึงถึงสถานะการฉีดวัคซีน จำเป็นต้องปิดบังใบหน้าในกิจกรรมกลางแจ้งหรือการชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วม 500 คนขึ้นไป
หากการชุมนุมอยู่ในพื้นที่สาธารณะในร่ม ทุกคนที่อายุเกิน 5 ขวบต้องสวมหน้ากากโดยไม่คำนึงถึงสถานะการฉีดวัคซีน เด็กที่อายุน้อยกว่าสองปีไม่ควรสวมหน้ากากเพราะอาจหายใจไม่ออก เด็กที่มีอายุสอง สาม หรือสี่ขวบ โดยได้รับความช่วยเหลือและการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ใหญ่ ขอแนะนำอย่างยิ่งให้สวมหน้ากากตลอดเวลาในที่สาธารณะเมื่ออยู่ร่วมกับผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในครัวเรือน
- เมื่อฉันได้รับวัคซีนแล้ว ฉันสามารถทำกิจกรรมสาธารณะ เช่น การรับประทานอาหารที่ร้านอาหารได้หรือไม่
-
ความเสี่ยงของการติดเชื้อโควิด-19 ระหว่างกิจกรรมทางสังคมในที่สาธารณะ เช่น การรับประทานอาหารในอาคารที่ร้านอาหารหรือไปโรงยิม นั้นต่ำกว่าสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วน ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วสามารถรวมตัวกันได้โดยไม่ต้องสวมหน้ากากหรือเว้นระยะห่างในบางพื้นที่ Department of Health (กระทรวงสาธารณสุข) ขอแนะนำหน้ากากอนามัยสำหรับทุกคน ในบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่านหรือการชุมนุมขนาดใหญ่ และทุกคนต้องสวมหน้ากากที่มีอายุมากกว่า 5 ปีในอาคารโดยไม่คำนึงถึงสถานะการฉีดวัคซีน
ผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือได้รับการฉีดวัคซีนบางส่วนยังควรสวมหน้ากากต่อไปและอยู่ห่างกันสองเมตรในที่สาธารณะทุกแห่งหรือเมื่อมาพบปะกัน
- ฉันจะต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนหรือไม่
-
บางมณฑลอาจต้องการหลักฐานการฉีดวัคซีนเพื่อเข้าถึงสถานประกอบการบางแห่ง ตรวจสอบกับกรมอนามัยของมณฑลเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม
บางธุรกิจกำหนดให้คุณต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน และธุรกิจหลายแห่งเสนอสิทธิประโยชน์แก่ผู้ที่ได้รับวัคซีน บางมณฑลอาจต้องการหลักฐานการฉีดวัคซีนเพื่อเข้าถึงสถานประกอบการบางแห่ง ตรวจสอบกับกรมอนามัยของมณฑลเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม
ดังนั้นควรรักษาบัตรฉีดวัคซีนของคุณเหมือนเป็นสูติบัตรหรือเอกสารสำคัญอื่นๆ! ถ่ายรูปแล้วเก็บไว้ที่บ้าน อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรฉีดวัคซีนและบันทึกการฉีดวัคซีน
- จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันได้รับวัคซีนเพียงบางส่วน
-
สำหรับวัคซีนสองเข็ม (Pfizer-BioNTech หรือ Moderna) คุณจะได้รับพิจารณาว่า "ได้รับการฉีดวัคซีนเพียงบางส่วน" หากคุณได้รับวัคซีนเพียงเข็มเดียว หรือหากยังไม่ผ่านไปสองสัปดาห์นับจากการให้วัคซีนเข็มที่สอง สำหรับวัคซีนชนิดฉีดครั้งเดียว (Johnson and Johnson (J&J)/Janssen) คุณจะได้รับพิจารณาว่า "ได้รับการฉีดวัคซีนเพียงบางส่วน" หากยังไม่ผ่านไปสองสัปดาห์นับตั้งแต่คุณได้รับการฉีดวัคซีน
ในขณะที่คุณรอการฉีดวัคซีนครบถ้วน คุณควรดำเนินการป้องกันต่อไปราวกับว่าคุณยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน นั่นหมายความว่าคุณควร:
- สวมหน้ากากที่พอดีและอยู่ห่างกัน 6 ฟุต (2 เมตร) ในที่สาธารณะทุกแห่ง
- จัดการชุมนุมที่มีขนาดเล็กทั้งในที่กลางแจ้งและในอาคารโดยเปิดหน้าต่างไว้
- สวมหน้ากากและอยู่ห่างกัน 6 ฟุต (2 เมตร) หากคุณรวมกลุ่มกับผู้อื่นที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
- หากไม่มีใครในครัวเรือนของคุณมีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยจากโควิด-19 ที่รุนแรง คุณสามารถไปเยี่ยมบ้านโดยไม่ต้องสวมหน้ากากและเว้นระยะห่างทางกายกับครัวเรือนที่ได้รับวัคซีนครบหนึ่งครัวเรือนในแต่ละครั้ง
- รับการตรวจสำหรับโควิด-19 หากคุณมีอาการหรือรู้ว่าคุณได้สัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19
- หลีกเลี่ยงการเดินทางต่อไปเว้นแต่จำเป็น (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) หากคุณเดินทาง ให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนและหลังการเดินทางและกักตัวเป็นเวลาเจ็ดวันหลังจากการเดินทาง
- ฉันยังคงป่วยจากโควิด-19 ได้หรือไม่หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว
-
ไม่น่าเป็นไปได้ แต่มีโอกาสเล็กน้อย วัคซีนมีประสิทธิภาพมาก แต่ไม่ 100% หากคุณมีอาการของโควิด-19 | CDC (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) คุณควรอยู่ห่างจากผู้อื่นและติดต่อผู้ให้บริการสาธารณสุข พวกเขาอาจแนะนำการตรวจโควิด-19
ดูข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจเชื้อโควิด-19 เอกสารคำแนะนำเฉพาะทางได้ในข้อมูลการตรวจเชื้อโควิด-19
- ฉันสามารถแพร่เชื้อโควิด-19 หลังจากฉีดวัคซีนได้หรือไม่
-
การติดเชื้อเกิดขึ้นได้เพียงส่วนน้อยของผู้ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วน แม้แต่ในเชื้อกลายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม หลักฐานเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนที่ติดเชื้อโควิด-19 สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้
- ฉันจะจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลเกี่ยวกับโควิด-19 ได้อย่างไร
-
เราเข้าใจดีว่าการแพร่ระบาดสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณได้ คุณไม่ได้ตัวคนเดียว ผู้คนจำนวนมากในวอชิงตันกำลังเผชิญกับความเครียดและความวิตกกังวลเกี่ยวกับความทุกข์ยากทางการเงินและการจ้างงาน การปิดโรงเรียน การเว้นระยะห่างทางสังคม ความห่วงใยด้านสุขภาพ ความเศร้าโศกและการสูญเสีย และอื่นๆ ซึ่งรวมถึงความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นที่อาจมาพร้อมกับการกลับไปทำกิจกรรมสาธารณะ
ต่อไปนี้เป็นแหล่งข้อมูลบางส่วนที่สามารถช่วยจัดการความเครียดและความวิตกกังวลของคุณได้:
- โทรติดต่อ Washington Listens ที่หมายเลข 833-681-0211 เพื่อรับการสนับสนุนและแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับความเครียดที่เกี่ยวข้องกับโควิด
- หากคุณอยู่ในภาวะวิกฤต:
- สายด่วนการฆ่าตัวตาย (ภาษาอังกฤษเท่านั้น): 800-273-8255 (ความช่วยเหลือด้านภาษา 150 ภาษา)
- หน้าแรก > การเชื่อมต่อวิกฤต (crisisconnections.org): 866-427-4747
- Teen Link: โทรหรือส่งข้อความ 866-833-6546 (มีบริการช่วยเหลือด้านภาษา)
- ใช้ สภาวะที่มีสติ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) เพื่อฟัง เรียนรู้ แบ่งปัน และเชื่อมโยงเกี่ยวกับสุขภาพและสุขภาพจิต
- ไปที่ หน้าสุขภาพจิต (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
- เข็มเสริมสำหรับโควิด-19 กับเข็มกระตุ้นแตกต่างกันอย่างไร
-
เข็มเสริม (หรือเรียกอีกอย่างว่าเข็มที่สาม) มีไว้สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง บางครั้งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะไม่สร้างการป้องกันที่เพียงพอเมื่อได้รับวัคซีนครบถ้วนในครั้งแรก เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น การได้รับวัคซีนอีกครั้งหนึ่งสามารถช่วยให้พวกเขาสร้างการป้องกันโรคได้มากขึ้น
เข็มกระตุ้น หมายถึงปริมาณวัคซีนที่ให้แก่ผู้ที่สร้างการป้องกันที่เพียงพอหลังการฉีดวัคซีน แต่แล้วการป้องกันนั้นก็ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป (เรียกว่าภูมิคุ้มกันลดลง) นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยักทุกๆ 10 ปี เนื่องจากการป้องกันจากวัคซีนป้องกันบาดทะยักในเด็กของคุณลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
- ใครควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มเสริมบ้าง
-
U.S. Food and Drug Administration, Advisory Committee on Immunizations Practices (ACIP, คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการสร้างภูมิคุ้มกัน) และ Western States Scientific Safety Review Workgroup (กลุ่มงานทบทวนความปลอดภัยทางวิทยาศาสตร์ของรัฐทางตะวันตก) แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มที่สามให้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรง (ภาษาอังกฤษเท่านั้น) โดยสามารถฉีดวัคซีนเข็มเสริมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
หากคุณมีโรคประจำตัวใดๆ ต่อไปนี้ ถือว่าคุณมีภูมิคุ้มกันบกพร่องในระดับปานกลางถึงรุนแรง และอาจได้รับประโยชน์จากวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มเสริม ซึ่งรวมถึงที่เข้าข่ายในกรณีต่อไปนี้
- กำลังรับการรักษามะเร็งแบบฉับไวสำหรับเนื้องอกหรือมะเร็งในเลือด
- รับการปลูกถ่ายอวัยวะและกำลังทานยาเพื่อกดภูมิคุ้มกัน
- ได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือกำลังรับประทานยาเพื่อกดภูมิคุ้มกัน
- มีภูมิคุ้มกันบกพร่องในระดับปานกลางหรือรุนแรง (เช่น กลุ่มอาการ DiGeorge, กลุ่มอาการ Wiskott-Aldrich)
- มีการติดเชื้อ HIV ขั้นสูงหรือไม่ได้รับการรักษา
- กำลังได้รับการรักษาแบบฉับไวด้วยคอร์ติโคสเตียรอยด์ขนาดสูงหรือยาอื่นๆ ที่อาจกดภูมิคุ้มกัน
แม้ว่าวัคซีนที่เรามีจะมีประสิทธิภาพ 90% ต่อไวรัสสายพันธุ์ส่วนใหญ่ แต่จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเสมอไป เข็มที่สามไม่ถือว่าเป็นเข็มกระตุ้น แต่เป็นเข็มเสริมสำหรับผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอหลังจากที่ได้รับวัคซีนติดต่อกันสองเข็ม
หากได้รับวัคซีน mRNA (Moderna หรือ Pfizer) และมีภูมิคุ้มกันบกพร่องในระดับปานกลางถึงรุนแรง:
- คุณควรได้รับเข็มเสริมอย่างน้อย 28 วันหลังจากรับเข็มที่สอง
- หากเป็นไปได้ คุณควรได้รับวัคซีนยี่ห้อเดียวกันกับสองเข็มแรก หากไม่มียี่ห้อนั้น คุณอาจรับวัคซีน mRNA ยี่ห้ออื่นได้
- คุณอาจรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดสเสริมเข็มเดียว (Pfizer-BioNTech, Moderna หรือ Janssen) หลังจากฉีดวัคซีน mRNA เข็มที่ 3 คุณควรรับโดสเสริม 3 เดือนหลังจากฉีดวัคซีน Pfizer โดสที่ 3 หรือ 3 เดือนหลังจากฉีดวัคซีน Moderna โดสที่ 3 ในกรณีนี้ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรงอาจรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมทั้งหมดสี่เข็ม
หากคุณได้รับวัคซีนของ Johnson & Johnson (Janssen) และมีภูมิคุ้มกันบกพร่องในระดับปานกลางถึงรุนแรง:
- คุณควรรับวัคซีน-19 เข็มกระตุ้นเข็มเดียว (Pfizer-BioNTech, Moderna หรือ Janssen) อย่างน้อย 2 เดือน (8 สัปดาห์) หลังจากฉีดวัคซีนหลักของ Janssen เข็มแรก
- ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ Janssen เข็มหลักเข็มเดียวไม่ควรรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมเกินสองเข็ม
หากคุณสงสัยว่าคุณต้องฉีดอีกเข็มหรือไม่โดยพิจารณาจากภาวะทางการแพทย์ โปรดติดต่อผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณ
- เหตุใดเข็มกระตุ้นจึงมีความสำคัญ
-
โดสเสริมจะช่วยป้องกันโรคร้ายแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อโควิด-19เราขอแนะนำให้ทุกคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปรับวัคซีนโดสเสริมเพื่อช่วยเพิ่มระดับการป้องกันการเจ็บป่วยจากโควิด-19 การทำเช่นนี้นี้มีความสำคัญเนื่องจากมีการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์และมีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ได้รับอนุญาตในสหรัฐอเมริกาสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้ายแรง การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี แม้ในกรณีติดเชื้อกลายพันธุ์ก็ตาม ทั้งนี้ วัคซีนที่เราได้รับอาจมีระดับการป้องกันลดลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่โดสเสริมจะช่วยป้องกันโควิด-19 ได้นานขึ้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ในหน้าโดสเสริมวัคซีน
ทรัพยากรและข้อมูลเพิ่มเติม
- แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 สำหรับบางกลุ่ม
-
เด็กและเยาวชน
- วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ผู้ปกครองของผู้เยาว์ควรรู้ (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- ข้อมูลที่พ่อแม่/ผู้ปกครองควรรู้เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับเด็ก (PDF)
- กล้ามเนื้อหัวใจตายหลังฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19: สิ่งที่ผู้ปกครองและคนหนุ่มสาวควรรู้ (PDF)
- ข้อมูลวัคซีนสำหรับเด็กและเยาวชนที่มีความต้องการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ (PDF) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
ให้นมบุตรและ/หรือคนตั้งครรภ์
- วัคซีนป้องกันโควิด 19 และอนามัยของระบบสืบพันธุ์ุ์ ประเด็นพูดคุยสำหรับผู้ให้บริการทางการแพทย์ (PDF) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัคซีน - คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอนามัยของระบบสืบพันธุ์
ชุมชนผู้อพยพและผู้ลี้ภัย
- คู่มือการสนทนาเพื่อสร้างความมั่นใจในวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้อพยพและผู้ลี้ภัย (PDF) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- ความกังวลและข้อเท็จจริงที่พบบ่อย (PDF) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- COVID-19 รู้สิทธิของคุณสำหรับสมาชิกชุมชนผู้อพยพ (WA Immigrant Solidarity Network) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- การมีส่วนร่วมของวัคซีนป้องกันโควิด-19: กระทรวงสาธารณสุขรัฐวอชิงตัน (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
ผู้ป่วยติดบ้าน
- เป็นผู้ป่วยติดบ้านและต้องการวัคซีนใช่หรือไม่ (PDF) (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
แหล่งข้อมูลเฉพาะของชุมชนเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ หน้าความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วมของวัคซีน (ภาษาอังกฤษเท่านั้น)
- คำถามของฉันไม่ได้รับคำตอบที่นี่ ฉันจะหาข้อมูลเพิ่มเติมได้อย่างไร
-
สามารถส่งคำถามทั่วไปไปที่ covid.vaccine@doh.wa.gov